วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2560

TCAS หรือ Thai University Center Admission System เป็นระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งจะเริ่มนำมาใช้ในปีการศึกษา 2561 เป็นระบบที่ออกแบบโดยที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.)
TCAS มีขั้นตอนอย่างไร
ระบบ TCAS ที่ทาง ทปอ. ได้ประกาศออกมา มี 5 ขั้นตอน ดังนี้
1. คัดเลือกโดยการส่งแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)
ในรอบนี้จะพิจารณาจากผลงานของนักเรียนที่นำมาใส่ Portfolio ไม่มีการสอบข้อเขียน ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยจะคัดเลือกนักเรียนจำนวนหนึ่ง อาจจะมีกาสัมภาษณ์หรือทดสอบทักษะเฉพาะทาง โดยการคัดเลือกในรอบนี้เป็นแค่การ Pre-screening เท่านั้น
2. สมัครโควตาแบบมีสอบข้อเขียน สำหรับนักเรียนในพื้นที่
ในรอบนี้จะเป็นการรับนักเรียนแบบโควตา สำหรับนักเรียนที่อยู่ในพื้นที่ หรือ รอบเขตการศึกษา ที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนด ในขั้นตอนนี้ทางมหาวิทยาลัยสามารถจัดสอบเองได้เลย หรือจะใช้ข้อสอบส่วนกลาง อย่าง 9วิชาสามัญ หรือ GAT/PAT เพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษา
3. การรับตรงร่วมกัน
ในรอบนี้เป็นการสอบรับตรง ซึ่งโครงการรับตรงอย่าง กสพท. ก็รวมอยู่ในรอบนี้ด้วย โดยทาง ทปอ. จะเป็นส่วนกลางในการรับสมัครในรอบนี้ และทางมหาวิทยาลัยจะพิจารณาผลการคัดเลือก โดยผู้สมัครสามารถเลือกได้ 4 สาขาวิชา
4. การรับ Admission
ในรอบนี้ยังคงใช้เกณฑ์ในการคัดเลือกแบบ Admission โดยใช้องค์ประกอบของคะแนน อย่างเช่น GPAX, O-NET, GAT/PAT หรืออื่นๆ ซึ่งผู้สมัครสามารถเลือกได้ 4 สาขาวิชา
5. การรับตรงแบบอิสระ
ทางมหาวิทยาลัยสามารถใช้เกณฑ์การสอบที่จัดขึ้นเอง หรือการสอบวิชาเฉพาะ และส่งผลการคัดเลือกให้ทาง ทปอ.
เหมือนหรือแตกต่าง?

ทุกๆคนคงจะสงสัยว่ามันต่างกับการคัดเลือกที่ผ่านๆมายังไง ระบบTCAS มีการเพิ่ม Clearing-House เป็นระบบที่ใช้ในการยืนยันสิทธิ์ ซึ่งผู้ที่ผ่านการคัดเลือกในแต่ละรอบจะต้องกดยืนยันสิทธิ์เคลียริ่งเฮาส์ในการที่จะเข้าเรียนได้แค่คนละ 1 ที่ เท่านั้น ระบบนี้สร้างมาเพื่อไม่ให้ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกหลายๆที่พร้อมกัน “กันที่” ของคนอื่นนั่นเอง และยังสะดวกต่อทางมหาวิทยาลัยในการนับจำนวนคนอีก

เป็นยังไงกันบ้างคะ สำหรับระบบใหม่ TCAS ที่ชาว Sanook! Campus นำมาแชร์กัน สำหรับน้องๆปี 61 เตรียมตัวกันให้พร้อมคอยอัพเดทข้อมูลข่าวสารอยู่เสมอ ซึ่งแน่นอนว่าทางเว็บไซด์แคมปัสสนุกของเราจะอัพเดทข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่องแน่นอนค่ะ
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ที่เว็บไซด์ของ ทปอ. http://tcas61.cupt.net/ ซึ่งจะเปิดให้ใช้กันในวันที่ 2 มิถุนายน เวลา 18.00 น. 

วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เครื่องฟอกไตออนไลน์

การล้างไตแบบประสิทธิภาพสูง (On-line Hemodiafiltration)

ไตวาย คือ สภาวะที่ไตไม่สามารถทำงานและไม่สามารถแก้ไขให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้ ทำให้เกิดอาการของการคั่งจากของเสีย และน้ำส่วนเกินในร่างกาย ผู้ป่วยจะมีอาการซีด เหนื่อยง่าย ผิวหนังแห้ง เบื่ออาหาร คลื่นใส้อาเจียน ความดันโลหิตสูง บวม และเหนื่อยหอบ ถ้าเป็นมากและไม่ได้รับการรักษาก็จะซึมลง ชัก หมดสติ และเสียชีวิตในที่สุด
วิธีการรักษาคือ การล้างท้อง, การฟอกเลือด และการเปลี่ยนไต เพื่อบรรเทาอาการและต่ออายุผู้ป่วยให้ยืนยาวขึ้น อย่างไรก็ตามในปัจจุบันวิธีการรักษาได้พัฒนาให้ดีขึ้น ผลการรักษาจึงดีขึ้นกว่าแต่ก่อน 
ในปัจจุบันเทคโนโลยีการล้างไตแบบประสิทธิภาพสูง (On-line Hemodiafilltration) เป็นกระบวนการฟอกไตที่มีประสิทธิภาพสูงมาก และได้รับความนิยมมากในประเทศแถบยุโรป เพราะนอกจากสามารถขจัดของเสียโมเลกุลขนาดเล็กได้แล้ว ยังสามารถขจัดของเสียโมเลกุลขนาดใหญ่เช่นฟอสเฟตในร่างกาย ซึ่งการฟอกไตแบบเดิมไม่สามารถทำได้ อีกทั้งระบบน้ำที่ใช้ ยังต้องมีความบริสุทธิ์สูงสุด จึงทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับการฟอกไตด้วยวิธีนี้ มีคุณภาพชีวิตโดยรวมที่ดีขึ้น ทำให้ภาวะติดเชื้อลดลง ลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน รวมถึงการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดภาวะซีด มีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น และลดการคันหลังได้รับการรักษา
ข้อดีของการทำ OL-HDF
  • ลดอัตราการเสียชีวิตเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่ได้รับการฟอกเลือดตามปกติ (Hemodialysis) ถ้าได้รับการรักษาในขนาดที่สูงเพียงพอ
  • สามารถขจัดฟอสเฟตได้มากกว่ากระบวนการฟอกเลือดตามปกติ จึงช่วยบรรเทาอาการและลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากฟอสเฟตในเลือดคั่งได้
  • สามารถขจัดของเสียโมเลกุลใหญ่ต่างๆ เช่น Leptin ทำให้ลดอาการเบื่ออาหาร, Beta 2 microglobulin ทำให้ลดภาวะการเกิด dialysis related amyloidosis ลง
  • ทำให้ภาวะซีดในผู้ป่วยดีขึ้น สามารถลดการใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงลง
  • การทำงานระบบหัวใจและหลอดเลือดคงที่กว่ากระบวนการฟอกเลือดตามปกติ ส่งผลให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำระหว่างฟอกเลือดลดลง
  • เพิ่มคุณภาพชีวิตเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่ได้รับการฟอกเลือดตามปกติ
  • ลดปฏิกิริยาการอักเสบและ oxidative stress ลง

ข้อด้อยของการทำ OL-HDF
  • ต้องอาศัยเครื่องไตเทียมรุ่นใหม่เพื่อความปลอดภัยในการให้การรักษา ซึ่งมีราคาแพงกว่าเครื่องฟอกเลือดปกติ
  • ต้องอาศัยพยาบาลที่มีประสบการณ์และความชำนาญในการใช้เครื่องไตเทียมประสิทธิภาพสูง
  • ต้องการระบบน้ำที่มีความบริสุทธิ์มากกว่าการฟอกเลือดตามปกติ จึงต้องมีการตรวจติดตามคุณภาพของน้ำที่ใช้ในการฟอกเลือดอย่างใกล้ชิด
  • มีค่าใช้จ่ายในการรักษาต่อครั้งมากกว่าการฟอกเลือดปกติ

วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ได้เวลาหรือยังกับการทวงถามสัญญา

วันนั้น หลายๆ คนบอกเราเอาไว้ว่า จะทำโน่น นั่น นี่ อยากทำแบบนั้นแบบนี้ ท่านตัวแทนกรรมการ
สภามหาวิทยาลัยฯ ที่เคารพนั่นเองครับ
(เฉพาะตัวแทนคณาจารย์)
....
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านมาจนวันนี้
มีใครทำกันแล้วบ้างไหมหนา
อยากจะส่งคำถามไปถามท่านทั้งหลายว่า
ที่ผ่านมา ท่านทำอะไรกันไปบ้างแล้ว
อยากให้บอกกล่าว เล่าเรื่อง
ถึงจะยาว เราก็อยากกกก ที่จะฟัง
เช่น
1. ท่านได้ใช้เรื่องอะไรในการหาเสียง
2. ท่านได้สัญญาสิ่งใด

ท่านสามารถบอกกล่าว และชี้แจงประชาคมที่
ลงคะแนนเสียงให้ท่านได้หลายช่องทาง ทั้ง
Line facebook หรือเว็บไซต์ เพื่อให้พวกเรา
ได้รับรู้ และเห็นถึงผลการปฏิบัติงานของท่าน
และจะได้ไว้ใช้เป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจ
ให้กับคนที่จะลงคะแนนให้ท่านอีกครั้ง
ในวาระถัดไป รวมทั้งใช้เป็นเครื่องมือ
ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของท่าน
กับสิ่งที่ท่านเคยหาเสียง และสัญญาไว้
กับประชาคมทั้งหลาย

ควรจะชี้แจงเป็นงวดๆ เอาตามการประเมิน
ปีละสองครั้ง รายไตรมาส หรือรายเดือนเลย
ก็เด็ดดวงดีนะครับ บอกกันให้ทราบบ้าง
.....
ตอนหาเสียงท่านสามารถส่งขอเสียงได้ยัน inbox เวลานี้ ... ก็ควรเช่นกันนะครับ
.....
ด้วยรักจากใจ คนขี้สงสัย


วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อันไตเติ้ล

ภาค ๑. แมนสรวง
....
"แมนสรวง" ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เพราะการที่ตัวเองทำงานในสายงานด้านวิทยา

ศาสตร์ แล้วอยู่ ๆ ก็มีคนมาบอกว่าที่ "แม้นมาศ" น้องสาวตัวเองมีอาการสติผิดๆ

เพี้ยนๆ ไปนั้น เกิดจากโดนคุณไสย พร้อมกับอธิบายรูปลักษณ์ของคนทำเสร็จสรรพ

และคนที่มีรูปลักษณ์ที่ว่าก็ไม่ใช่ใคร "เพียงดาว" เพื่อนสนิทของน้องสาวของเขานั่น

เอง แต่เขาก็นึกแย้งอยู่ในใจอยู่ตลอด เพราะเพื่อนน้องสาวคนนี้เข้านอกออกในบ้าน

ของเขาเหมือนหนึ่งคนในครอบครัว จะทำแบบนั้นไปทำไม

หรือเพราะอิจฉาในโอกาสที่น้องสาวเขาได้รับจากเพื่อนๆ หรือแม้แต่อาจารย์มากกว่า

เช่น เพิ่งได้กลับจากการเป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนกับต่าง

ประเทศ ทำให้ดูว่ามีชีวิตที่รุ่งโรจน์กว่า คิดๆ แล้วก็พาลให้มีใจเชื่อตามนั้นได้เหมือนกัน

เขาต้องคอยสังเกตพฤติกรรมของเพียงดาวแล้วล่ะ

จนบ่อยๆ ที่เขาสังเกตจะเห็นท่าทีของเพียงดาวที่ลอบมองแม้นมาศจากด้านหลังด้วย

สายตาที่น้อยใจ และสดงออกถึงอาการอิจฉาออกมาทางคำพูดบ่อยๆ ยิ่งเป็นการย้ำ

คำพูดของหมอไสยให้ยิ่งชัด และยิ่งจุดความโกรธและแค้นใจขึ้นในใจของแมนสรวง

ขึ้นมา สุดท้ายกว่าจะรู้ตัวอีกที เขาก็มานั่งอยู่ในพิธีและกำลังกระทำการ "ทำของกลับ"

ภาค ๒. เพียงพิศ
....
ระยะนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ เธอมักได้ยินเสียงแปลกๆ ในตอนกลางคืน บางทีก็รู้สึกเหมือนมี

ใครกำลังจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา เมื่อคืนวานก็ฝันแปลกๆ เห็นคนที่ตัวเองไม่เคย

เห็นหน้าวิ่งไล่เธอ และเธอก็หนีจนสุดทาง ก่อนที่มันจะคว้าตัวเธอ ก็สะดุ้งตื่นพร้อม

เหงื่อที่โทรมกาย สิ่งที่เธอต้องทำคือ คุยกับแม้นมาศ และเล่าให้แม้นมาศฟังเรื่อง

ความฝันของเธอ แม้นมาศเห็นว่าเพื่อนมาเช่าอพาร์ทเมนท์อยู่ทำไมคนเดียว จึงชวน

เธอมาอยู่ด้วยกันที่บ้านเธอ ซึ่งแน่นอน แมนสรวงพี่ชายคนเดียวของเธอ ย่อมไม่ขัด

ข้องอยู่แล้วด้วยรู้ว่าพี่ชายรักและตามใจเธอมาตลอด ยังพูดกับเธอด้วยซ้ำว่า ดี จะได้

มาช่วยเป็นหูเป็นตา ไม่ให้หนุ่มๆ คนไหนมาจีบน้องสาวคนสวยของตัวเองง่ายๆ

ตลอดระยะเวลาที่อยู่บ้านแม้นมาศ เธอก็ทำทุกอย่างที่จะไม่ให้ใครมาว่าได้ว่ามาอยู่

บ้านเขาแล้วนิ่งดูดาย ทำงานบ้าน กับข้าว ให้ทุกคนในบ้านทาน จนแทบจะกลายเป็น

แม่บ้าน หรือคนรับใช้ของบ้านอยู่แล้ว บ่อยๆ เมื่อเธอเหนื่อยมากๆ ในบางวัน เธอมัก

จะลอบมองเพื่อนสาวของเธออย่างอิจฉาเสมอ ว่าทำไมไม่สวย พี่ชายไม่ใส่ใจเธอ

แบบนี้บ้าง ซึ่งเธอเองก็เปรยกับแม้นมาศเสมอ แต่เธอก็ไม่เคยริษยาเพื่อนของเธอ

ด้วยความมีน้ำใจ และบุญคุณที่ครอบครัวนี้มีต่อตัวเธอ เพียงแต่พักนี้เธอมีอาการ

แปลกๆ ไปหาหมอ หมอก็ยังบอกว่า "ปกติทุกอย่าง" แต่อาการเธอมันรู้สึกได้ว่าแย่ลง

เรื่อยๆ

ภาค ๓. แม้นมาศ
....
อาการป่วยของเธอแสดงออกมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอไม่อยากบอกให้ใครรู้ โดย

เฉพาะพี่ชายของเธอ เพราะเขาคงรับไม่ได้ หรืออาจจะโกรธเกลียดเธอไปเลย เนื่อง

จากช่วงที่เธอไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ เธอไปเจอเพื่อนต่างประเทศ

หลายคน ความสนุก และความที่เธอเป็นคนมองโลกในแง่ดี ทำให้เธอไม่รู้ว่า "คน" มี

หลายประเภท และบังเอิญคนที่เธอคบนั้น ภายนอกดูเป็นคนดี แต่ที่แท้คือจิ้งจอก

สังคม ที่ใช้ความหรูหรา หน้าตาดี บดบังความร้ายกาจของตัวเอง และเพื่อนสาวคน

ใหม่จากเมืองไทยอยู่ในเป้าสายตามันตั้งแต่วันที่ไปรับจากสนามบิน มันดูแลเอาใจใส่

เธออย่างดี จนค่ำวันหนึ่ง สามารถชวนเธอไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนๆ วัยรุ่นของตัวเองได้

แม้นมาศได้เจอสิ่งใหม่ๆ บรรยากาศใหม่ๆ ที่ชวนสนุกสนาน ดื่ม ทาน สูบในสิ่งเธอก็

ไม่รู้ว่ามันคืออะไร รู้แต่ใครๆ ก็ทำกัน แน่นอนว่าคนไร้ภูมิคุ้มกันที่ถูกเลี้ยงเยี่ยงไข่ใน

หินอย่างเธอยากจะตามทัน ทำให้เธอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเสพติดในหลายๆ ครั้ง

ตลอดระยะเวลาที่ใช้ชีวิตในต่างประเทศ และผลของสารเหล่านั้นเริ่มส่งผลต่อ

ประสาทสมองของเธอ ทั้งภาพหลอน และอาการหลงๆ ลืมๆ ซึ่งมันเป็นๆ หายๆ เธอ

พยายามที่จะปกปิดเรื่องนี้ต่อไป เท่าที่คิดว่า มันสมองของเธอจะคิดได้

........................
สุดท้ายเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร
เชิญผู้อ่านกำหนดกันเอง

สมพล 15/11/2559

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

"นังเมียโง่"

"นังเมียโง่"
ตอนจีบกันทีแรกก็จำได้ว่ามันฉลาดมาก นี่นา
เรียนก็สูง หน้าที่การงานก็ดี ทำไมอยู่กันไป อยู่กันมา
กลับเป็นว่าโง่ลงได้ถึงขนาดนี้
นังเมียเรานี่ยังโชคดีที่มีผัวฉลาดๆ แบบเราอยู่ข้างๆ นะเนี่ยไม่ใช่คุย
ตอนเด็กๆ สมัยประถมผมจะได้รับคำชมจากคุณครูประจำชั้นอยู่เสมอๆ
จะได้รับรางวัลเป็นประจำในวิชา คัดไทย เขียนไทย
ผมยังมีความภาคภูมิใจมาจนถึงทุกวันนี้
แม้เวลามันจะล่วงเลยมานานแล้วก็ตาม
ผมก็ยังคงเป็นคนเก่งอยู่ อันนี้ผมรู้จากนังเมียผม
เพราะผมสังเกตุเห็นนังเมียมันจะ ตบมือดังๆ แล้วก็เอ่ยปากชม ไม่ขาดปาก
ว่าเก่งยังโน้นเก่งยังนี้ เวลาผมซักผ้า ถูบ้าน หุงข้าว ล้างชาม
ได้อย่างยอดเยี่ยมและเสร็จทันในเวลาที่นังเมียผมมันกำหนดไว้
แถมบางครั้งยังมีเวลาเหลือพอที่จะไปล้างส้วมได้เสร็จทันเวลาอีกด้วย
ทีแรกผมก็คิดได้เองอยู่แล้วว่าผมเก่งและฉลาดมาก
ความจริงนังเมียมันไม่บอก ผมก็รู้ อยู่แล้ว
ผิดกับนังเมียผมที่นับวันจะโง่ลง
ขนาดแอร์ ทีวี ที่สมัยนี้เปิดปิดง่ายๆ มันยังทำไม่เป็น
รีโมท ตั้งอยู่ข้างหน้านังเมียมันยังใช้ไม่เป็น มือซ้ายถือมันฝรั่ง
มือขวาแก้วน้ำหวาน ปากก็บอกว่า นี่เปิดทีวีให้ดูหน่อยซิ
แอร์ด้วยนะ ซัก 23 องศา แน่ะรีโมทก็อยู่ข้างหน้าใช้ไม่เป็น
มันโง่จริงๆ ผมเคยสอนให้ใช้หลายครั้ง ก็ยังทำไม่เป็น
จนผมรู้ว่ามันสมองแต่ละคนไม่เท่ากัน
จะให้มาเป็นเลิศแบบผมทุกคนคงเป็นไปไม่ได้
เอ่อ..
แต่นังเมียผมมันก็ยังพอมีความฉลาดอยู่บ้างนะ
อย่างเช่นว่า..
วันเงินเดือนผมออก นังเมียมันรู้หมดแนะแถมยังจำแม่น
บางเดือนเลื่อนออก เงินเดือนไปวันไหนวันไหน มันรู้หมดแหล่ะ
ผมยังแปลกใจโง่ๆ แบบนี้รู้ได้ไง
แต่ยังไง..นังเมียก็ไม่ฉลาดกว่าผมหรอก
มานั่งคอยจำ คอยเตือนเงินเดือน ทุกเดือนเสียเวลา
ผมเลยเอาเลขที่บัญชีของเมีย ให้บริษัทโอนเงินเข้าไปเลย
นังเมียยังชมผมไม่ขาดปากมาถึงทุกวันนี้ ฉลาดมาก ฉลาดมาก
โธ่เอ็งไม่ต้องบอกข้าก็รู้ " นังเมียหัวขี้เลื่อย "
มีต่อๆ
ภาคสอง "แก้แค้น"
วันก่อนผมก็มีวีรกรรมได้แกล้ง นังเมียโง่ของผม ซะจายจิงๆ
เรื่องมันมีอยู่ว่า...
อาทิตย์ที่แล้วพาเมียโง่ ไปซื้อกับข้าวมื้อค่ำ
ได้ปลาดุกย่าง สะเดาน้ำปลาหวาน (ของโปรดผมคือหนังปลาดุก)
เผลอแป๊บเดียว (ผมอาบน้ำอยู่)
นังเมียโง่ของผมแอบลอกหนังปลาดุกกินเสียเกลี้ยง ดูสิดูมันทำ
ด้วยความฉลาดของผม เก็บความแค้นอยู่ในใจ
วันต่อมาถึงวันล้างแค้นนังเมียโง่ของผม ไปจ่ายตลาด มันกำลังท้อง
อยากกินมันเทศต้ม ซื้อมา 2 กิโล
ถึงบ้านพอมันเผลอ
ผมลงมือแก้แค้นทันทีโดยไม่ให้นังเมียโง่ของผมตั้งตัว
ผมจัดการลอกเปลือกมันต้มกินจนเกลี้ยง
เหลือแต่เนื้อให้มัน เพื่อนๆครับ มันมาเจอถึงกลับตลึง ทำท่าน้ำตาคลอ
คงเจ็บใจผมจนพูดไม่ออกเลย
555 ให้มันรู้ซะบ้าง " นังเมียโง่ "

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

การวิจัยในชั้นเรียน ไม่ยากอย่างที่คิด

การวิจัยในชั้นเรียน ไม่ยากอย่างที่คิด


               ครูทุกท่านคงตระหนักดีแล้วว่างานวิจัยในชั้นเรียนนั้นสำคัญอย่าง ไร แต่อยู่ที่ว่าครูมีความเข้าใจการวิจัยในชั้นเรียนเพียงใด ได้ทดลองลงมือทำบ้างแล้วหรือยัง ซึ่งมีหลายท่านเมื่อพูดถึงคำว่า "วิจัย" ภาพของเอกสารหรือตำราเล่มหนาๆ โตๆ และสถิติที่ยุ่งยากผุดขึ้นในใจ "มีประโยชน์มากมายแต่ทำได้ยากเหลือเกิน เปรียบเหมือนยาขมที่ครูจำเป็นต้องรับประทาน" ดังนั้นบทความนี้จึงนำเสนอเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจว่าการวิจัยในชั้นเรียนนั้นไม่ยากย่างที่คิด

 
การวิจัยในชั้นเรียน ไม่ย


 
ความแตกต่างของการวิจัยในชั้นเรียนกับการวิจัยทั่วไป
               การวิจัยเป็นวิธีการศึกษาหาความรู้ที่เป็นระบบโดยใช้กระบวนการทางวิทยา ศาสตร์ ซึ่งการวิจัยประเภทใดก็ตามจะมีขั้นตอนสำคัญๆ ไม่แตกต่างกันคือ
1.การกำหนดปัญหาการวิจัย
2.การแสวงหาสู่ทางแก้ปัญหา
3.การใช้วิธีการต่างๆ แก้ปัญหา
4.การบันทึกและการปฏิบัติการแก้ปัญหา
5.การสรุปและนำเสนอผลการแก้ปัญหา

               สำหรับการวิจัยในชั้นเรียนมีขั้นตอนการ ดำเนินงานเช่นเดียวกันกับการวิจัยทั่วไป แต่ต่างกันที่การวิจัยในชั้นเรียนมีเป้าหมายเพื่อการแก้ปัญหาและพัฒนาการ เรียนการสอนให้เกิดประโยชน์สูงสุด มิใช่การมุ่งสร้างองค์ความรู้เพื่อพัฒนาหรือขยายองค์ความรู้ในศาสตร์ของตน เอง (ซึ่งหากครูสามารถทำได้ถึงขั้นนี้นับว่าเป็นประโยชน์สูงสุดต่อการจัดการ ศึกษา) ดังนั้นการวิจัยในชั้นเรียนจึงเป็นการทำวิจัยไปพร้อมๆ กับการจัดการเรียนการสอนไม่แยกส่วนออกจากกัน นอกจากนั้นการวิจัยในชั้นเรียนไม่มีรูปแบบการดำเนินงานหรือรูปแบบการเขียน รายงานวิจัยที่เป็นทางการมากนัก อาจจะทำเป็นวิจัยง่ายๆ 4-5 หน้า หรือจะทำเป็นงานวิจัย 5 บท ก็ได้เช่นกัน

กระบวนการวิจัยในชั้นเรียน
               กระบวนการวิจัยในชั้นเรียนที่จะนำเสนอนี้หากท่านลองฝึกคิดและทำตามไปทีละขั้นเชื่อมั่นว่าท่านจะได้งานวิจัย 

เลือกปัญหาการวิจัย
ปัญหาที่นำมาใช้ในการวิจัยพิจารณาได้จาก

-ปัญหาที่เกิดกับตัวนักเรียน อาจจะเป็นปัญหาพฤติกรรมหรือปัญหาการเรียนรู้ ซึ่งครูสามารถค้นหาปัญหาเหล่านี้จากบันทึกท้ายแผนการสอน บันทึกผลการเรียน พอร์ตโฟลิโอ การสังเกต การพูดคุยกับเพื่อนครู ฯลฯ
-
ปัญหาที่เกิดระหว่างการจัดการ เรียน การสอน อาจจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับสื่อการเรียนการสอน การจัดกิจกรรม กระบวนการสอนของครู หรือการวัดประเมินผล เป็นต้น
-
ปัญหาจากความต้องการของครูที่จะพัฒนาคุณภาพการสอนให้ดียิ่งขึ้น

               ในขั้นนี้ท่านอาจจะพบปัญหาหลายปัญหาซึ่ง ในการเลือกปัญหามาทำวิจัยนั้นควรเป็นปัญหาที่มีความสำคัญส่งผลต่อการเรียน รู้และความสำเร็จของนักเรียน เป็นปัญหาที่มีความต่อเนื่องคือถ้าไม่ได้รับการแก้ไขจะส่งผลต่อการเรียนรู้ ของนักเรียนในเรื่องอื่นๆ ตามมา เป็นปัญหาที่วิธีการเดิมๆ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือครูสามารถดำเนินการวิจัยได้ด้วยตนเอง

วิเคราะห์สภาพปัญหา
               ปัญหาที่เลือกว่าจะนำมาทำวิจัย ครูจะต้องศึกษาสภาพให้ละเอียดลงไปอีกว่ามีสภาพปัญหาอย่างไรบ้าง ปัญหาเกิดขึ้นกับเด็กทั้งชั้น หรือเด็กส่วนใหญ่หรือเด็กบางคน

วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา
               ในการวิเคราะห์ควรพิจารณาให้รอบด้านเพื่อทราบสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง เช่น สาเหตุอาจมาจากตัวนักเรียนเอง ผู้สอน เพื่อน ผู้ปกครอง สภาพครอบครัว เป็นต้น วิธีการที่จะค้นหาสาเหตุ คือ ใช้การสังเกต พูดคุยกับนักเรียน ดูจากผลงานของนักเรียน ใช้การทดสอบ การสอบถามพูดคุยกับเพื่อนครู ผู้ปกครอง ฯลฯ
               
หาแนวทางแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้
               จากสภาพปัญหาครูจะทราบว่าการทำวิจัยมีเป้าหมายอะไร กล่าวคือ ถ้าเป็นการวิจัยเพื่อมุ่งพัฒนาการเรียนรู้ ถ้าวิจัยเพื่อมุ่งแก้ปัญหาของนักเรียนบางคน หรือบางกลุ่มจัดเป็นการวิจัยแก้ปัญหา จากตัวอย่างในข้อ 2 อาจจะทำวิจัยในชั้นเรียนได้ 2 เรื่อง คือ วิจัยพัฒนาการเรียนรู้ของชั้นเรียน เนื่องจากมีผลสัมฤทธิ์เฉลี่ยต่ำ หรือวิจัยเพื่อแก้ปัญหาให้แก่นักเรียน 2 คน ที่มีปัญหาการเรียนรู้ค่อนข้างมาก ซึ่งวิธีการที่ใช้ในแต่ละเป้าหมายอาจจะแตกต่างกัน ในการหาแนวทางหรือวิธีการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ ผู้สอนสามารถใช้การสังเกตแล้วเชื่อมโยงกับปัญหาและสาเหตุของปัญหา เช่น สังเกตว่าเวลาที่นักเรียนไปเรียนนอกห้องเรียนแล้วมีความสุข ครูอาจจะใช้วิธีเรียนคณิตศาสตร์จากแหล่งเรียนรู้แก้ปัญหานักเรียนไม่สนใจ เรียนรู้ เป็นต้น หรืออาจจะหาแนวทางจากการศึกษางานวิจัยของผู้อื่นแล้วนำมาปรับใช้ให้เหมาะสม กับนักเรียน

กำหนดชื่อเรื่องวิจัย คำถามวิจัย และวัตถุประสงค์การวิจัย
               เพื่อเป็นการกำหนดเข็มทิศนำทางในการดำเนินการวิจัย จึงต้องกำหนดชื่อเรื่องวิจัน คำถามการวิจัย และวัตถุประสงค์การวิจัย โดยมีหลักการ ดังนี้

ชื่อเรื่องวิจัย ระบุให้ชัดถึงเรื่องที่จะแก้ปัญหาหรือพัฒนา กลุ่มเป้าหมาย และวิธีที่จะนำมาใช้แก้ปัญหาหรือพัฒนา เช่น
  • -ผลของการจัดกระบวนการเรียนรู้โย ใช้แหล่งเรียนรู้ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์และความ สนใจในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/4
    -การแก้ปัญหาพื้นฐานความรู้ด้านการอ่านภาษาไทยและทักษะการคำนวณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/4
คำถามวิจัย กำหนดคำถามนำทางเพื่อให้การดำเนินงานสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่ต้องการคำถามวิจัยกำหนดได้มากกว่า 1 ข้อ เช่น
  • -การเสริมพื้นฐานความรู้ทางด้านการอ่านภาษาไทยและทักษะการคำนวณอย่างเป็นระบบทำได้อย่างไร
    -นักเรียนมีปฏิกิริยาต่อการเข้าร่วมกิจกรรมเสริมความรู้พื้นฐานอย่างเป็นระบบนอกเวลาเรียนอย่างไร
    -การเสริมพื้นฐานความรู้อย่างเป็น ระบบสามารถส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์และความสนใจใน การเรียนรู้ของนักเรียนมากน้อยเพียงใด และอย่างไร
วัตถุประสงค์การวิจัย กำหนดให้สอดคล้องกับชื่อเรื่องวิจัยว่าต้องการทำวิจัยเพื่ออะไร เช่น
  • -เพื่อพัฒนากระบวนการเสริมพื้นฐานความรู้ทางด้านการอ่านภาษาไทยและทักษะการคำนวณอย่างเป็นระบบ
    -เพื่อแก้ปัญหานักเรียนจำนวน 2 คน ที่ขาดความรู้พื้นฐานทางด้านการอ่านภาษาไทยและทักษะการคำนวณโดยใช้กระบวนการ เสริมพื้นฐานความรู้อย่างเป็นระบบ
    -เพื่อศึกษาผลการแก้ปัญหานักเรียน จำนวน 2 คน ที่ขาดความรู้พื้นฐานทางด้านการอ่านภาษาไทยและทักษะการคำนวณโดยใช้กระบวนการ เสริมพื้นฐานความรู้อย่างเป็นระบบ
วางแผนการดำเนินการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้
               ในการวางแผนจะต้องเขียนให้สามารถมองเห็นภาพของการดำเนินงานอย่างชัดเจน ซึ่งอาจจะระบุประเด็นต่อไปนี้
  • -เครื่องมือในการวิจัย โดยระบุทั้งเครื่องมือที่ใช้ในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ เช่น แผนการสอน แผนการแก้ปัญหาโดยการสอน ซ่อมเสริม เป็นต้น และเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น แบบสังเกตพฤติกรรม แบบสัมภาษณ์ แบบทดสอบ เป็นต้น สำหรับการทำวิจัยในชั้นเรียนไม่จำเป็นต้องหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ
    -การเก็บรวบรวมข้อมูล ให้ระบุว่าจะใช้เครื่องมือใดเก็บรวบรวมข้อมูลในช่วงเวลาใด และเก็บอย่างไร
ลงมือปฏิบัติตามแผน เก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูล
               ในขั้นที่ 1-6 เป็นโครงร่างของการวิจัย จากนั้นดำเนินการตามแผน และเก็บรวบรวมข้อมูลตามที่กำหนดไว้ สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลจะต้องมีสถิติเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งการวิจัยในชั้นเรียนส่วนใหญ่ใช้การหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับค่า t-test ใช้กับการทำวิจัยกับกลุ่มตัวอย่างแล้วอ้างอิงไปถึงประชากร ดังนั้นการวิจัยในชั้นเรียนซึ่งเป็นการกระทำกับประชากรอยู่แล้วจึงไม่ควรนำ t-test มาใช้

การสรุปและอภิปรายผลการวิจัย
               การสรุปผลการวิจัยจะต้องสรุปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ และนำเสนอข้อมูลอย่างเป็นระบบ อาจจะในรูปตาราง แผนภูมิ แผนภาพ หรือเขียนบรรยาย ส่วนการอภิปรายผลเป็นการกล่าวว่าผลจากการวิจัยเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้หรือ ไม่ เพราะเหตุใด สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้อื่นทำไว้หรือไม่ หรือผู้วิจัยมีแนวคิดอะไรเพิ่มเติมจากการทำวิจัยในครั้งนี้บ้าง

การเขียนรายงานวิจัยในชั้นเรียน
               การเขียนรายงานวิจัยในชั้นเรียนไม่มีรูปแบบที่เป็นทางการเหมือนการวิจัยทั่ว ไป ดังนั้นอาจจะเขียนบรรยายตามหัวข้อที่กล่าวมาข้างต้น หรือจะใช้รูปแบบที่เป็นทางการตามความคุ้นเคยก็ได้เช่นกัน

               จะเห็นได้ว่าการวิจัยในชั้นเรียนเป็นกระบวนการที่ดำเนินงานไปพร้อมๆ กับการจัดการเรียนการสอน มีขั้นตอนสำคัญๆ เหมือนกับการวิจัยทั่วไป แต่ไม่มีรูปแบบที่เป็นทางการ และการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้เพียงสถิติที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ทราบอย่างนี้แล้วคุณครูคงไม่ต้องวิตกกังวลกับการทำวิจัยในชั้นเรียนอีกต่อไป
 




ขอบคุณข้อมูลจาก  http://www.myfirstbrain.com
                          http://www.kroobannok.com/8500
ภาพประกอบจาก     trf2.trf.or.th





Eduzones Expo 2015
link : http://expo.eduzones.com/2015/
 

วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2558

ความสุขที่ไม่มีวันจาง "รับลมชมวิว โฮมสเตย์"

สืบเนื่องจากการเดินทางไปทำบุญ พ่อ และ บรรพบุรุษ รวมถึงญาติๆ ผู้ล่วงลับ
ระหว่างวันที่ 15-18 มกราคม 2558 ที่ผ่านมา

และได้มีโอกาสพาคุณแม่ น้า หลานๆ ไปพักผ่อนที่ "รับลมชมวิวโฮมสเตย์"
บ้านท่าหยี ม.6 ต.ห้วยลึก อ.ควนเนียง จ.สงขลา

จึงอยากจะนำภาพถ่ายที่ถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ ซัมซุง รุ่น โน๊ต 3
อาจจะมีบางภาพที่ผ่านการตกแต่ง เพื่อสร้างอารมณ์ในการเล่าเรื่องนะครับ
(แต่โดยส่วนใหญ่คือภาพที่ถ่ายสด ไม่ได้ตกแต่ง)

รับลมชมวิวโฮมสเตย์ เป็นโฮมสเตย์เล็กๆ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ครบเท่าที่ความต้องการพื้นฐานจำเป็น มีอาคารพักสองแบบ คือแบบมีห้องน้ำในตัว และห้องน้ำรวม

เมื่อตอนที่ผมเดินทางไปทั้งหมด ผู้ใหญ่ 6 เด็ก 3 สามารถพักได้อย่างเพียงพอสำหรับ 2 ห้อง

มีห้องประชุม ที่มีเวทียกพื้นเพื่อใช้เป็นงานเป็นการ สามารถรับผู้เข้าพักแบบหมู่คณะได้ถึง 30 คน

ด้วยความที่ไปถึงในเวลากลางคืน จึงไม่ได้เก็บภาพ รอบๆ บริเวณมาฝากแต่ท่านทั้งหลานสามารถเข้าชมได้ที่เฟชบุคของ รับลมชมวิวโฮมสเตย์
https://www.facebook.com/RabLmChmWiwHomStey?ref=ts&fref=ts

แต่ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า หากท่านต้องการพาครอบครัวไปพักผ่อน แบบสงบๆ เงียบๆ
ทานอาหารพื้นบ้าน ทานอาหารทะเลที่เป็นกลุ่มทะเลสาบสงขลา ที่ปลอดสารพิษ เนื่องจากเป็นการทำประมง ในทะเลสาบน้ำกร่อย ท่านจะได้ชิมอาหารทะเลตามฤดูกาลนั้นๆ

เวลาที่นัดหมายเพื่อออกล่องเรือชมทิวทัศน์ตอน 6.00 น. แต่พวกเราสายกัน เพราะนอนสบายเหลือเกินไม่อยากตื่น อิอิ เลยเลทไปนิดหน่อย


แต่ถึงแม้เราจะออกมาสายเล็กน้อยก็ไม่ได้ทำให้ความสวยงามลดลงแต่อย่างใด


ท้องน้ำสงบนิ่ง ดังกระจกเงาสะท้อนท้องฟ้า สวยงาม ท้าทายนักบันทึกภาพเป็นอย่างมาก


แม้เพียงกล้องมือถือธรรมดา ยังดึงดูดให้ผมรัวชัตเตอร์กับภาพที่อยู่ตรงหน้าไม่หยุด


ดังภาพสีน้ำที่จิตรกรมากฝีมือรังสรรค์ สุดท้าย ธรรมชาติต่างหาก คือผู้ส้รางสรรค์ให้จิตกรเหล่านั้นหลงไหล


ความงดงามที่ไม่มีซ้ำกัน ของแต่ละวัน วันนี้โชคดีมาก ท้องฟ้าประดับด้วยเมฆบางๆ


ถึงขนาดที่ผมเอง ไม่อยากละสายตาจากความงามตรงหน้าแม้วินาทีเดียว


ยิ่งร้อยเรื่องราวของชาวประมงชายฝั่ง ที่ยังคงกลิ่นอายวัฒนธรรมพื้นบ้านอยู่อย่างครบถ้วน


วัฒนธรรมที่ยังสวยงาม ทักทายปราศรัย ที่หาไม่ได้แล้วในเมืองใหญ่


สวยงามจริงๆ


ผมเชื่อว่า หากตากล้องได้เจอภาพเหล่านี้ จะต้องถ่ายทอดภาพออกมาได้ดีกว่าผมมาก


ยังครบถ้วนประมงทะเลสาบสงขลา


สวยงาม ไม่ผ่านแอป


สวยเหลือเกิน ผมไม่เวอร์ไปใช่ไหมครับ


เพียงแค่เราเบนกล้อง เราก็จะได้อีกอารมณ์นึง


วิถีชาวประมงพื้นบ้าน


เรียบง่าย ไม่ทำร้ายธรรมชาติ


รูปท้องฟ้าดวงอาทิตย์เยอะหน่อย เพราะผมชอบภาพแนวนี้ อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ


ชอบภาพแบบนี้มากๆ ครับ


โฉมหน้าผู้ร่วมทริปครั้งนี้


ยกยอ ดูภาพเอานะครับ


สงบ เย็น สุข


ทดลองเปิด google map ผมอยู่ในคลอง อิอิ


แสงทองส่องประกายสาดฟ้า


อุปกรณ์ความปลอดภัยตามมาตรฐาน

 
^^


ภาพอาจจะมีสลับไป มา บ้าง นะคับ


อยากจะบอกว่า ที่ตรงนี้ ยังมีความสงบที่จะดึงเอาความวุ่นวายออกจากใจของคุณ


วิถีไทย เดิมๆ


ทิ้งความวุ่นวายไว้ข้างหลัง แล้วเงยหน้ามองหาความสงบ เพื่อเพิ่มพลังในใจ


ได้เห็นระบบนิเวศน์ที่ไม่ใช่มีแค่ในหนังสือ


สดชื่น


สบาย


สดใส


เรียนรู้


เบิกบาน


ครั้งนี้ โชคดีมาก ได้เห็นเหยี่ยว ลงโฉบ จับปลากินที่ผิวน้ำด้วย เหยี่ยมเยอะมากครับ


ฟองคลื่นทำให้เกิดการกระจายตัวของน้ำส่งเป็นความเย็นปะทะใบหน้าตลอดการเดินทาง


รื่นรมย์


วัฒนธรรมริมน้ำยังคงอยู่ ถึงแม้ วัฒนธรรมริมถนนจะก้าวย่างเข้ามาอย่างต่อเนื่อง


ภาพสุดท้าย ที่ผมรู้สึกชอบเป็นการส่วนตัว

สุดท้าย สิ่งที่ได้จากการชมทิวทัศน์และธรรมชาติในครั้งนี้ คือ ความร่มรื่น สงบ เรียบง่าย
สิ่งที่ได้ทำ คือ ปล่อยวาง ดื่มด่ำ และรู้สึกได้รับพลังจากธรรมชาติ กลับมาเผชิญกับงาน และภาระ
ที่ต้องรับผิดชอบในโลกแห่งการทำงาน การแข่งขัน และต่อสู้ต่อ อย่างน้อยผมมั่นใจว่า ผมได้เพิ่ม
ปริมาณออกซิเจน เพื่อการฟอกเลือดให้ไปเลี้ยงสมองเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

สำคัญที่สุด คือ ลุงชิต ผู้จัดการโฮมสเตย์ ที่ให้ความเอาใจใส่ ดูแล พวกเราเป็นอย่างดี
หากขาดเหลืออะไร อยากได้อะไร ที่ไม่เกินวิสัยของความจำเป็น ก็ลองพูดคุยกับลุงชิตดูครับ
(ตามเฟชบุ๊คเอาจากลิ้งค์ข้างต้นนะครับ)