วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

การวิจัยในชั้นเรียน ไม่ยากอย่างที่คิด

การวิจัยในชั้นเรียน ไม่ยากอย่างที่คิด


               ครูทุกท่านคงตระหนักดีแล้วว่างานวิจัยในชั้นเรียนนั้นสำคัญอย่าง ไร แต่อยู่ที่ว่าครูมีความเข้าใจการวิจัยในชั้นเรียนเพียงใด ได้ทดลองลงมือทำบ้างแล้วหรือยัง ซึ่งมีหลายท่านเมื่อพูดถึงคำว่า "วิจัย" ภาพของเอกสารหรือตำราเล่มหนาๆ โตๆ และสถิติที่ยุ่งยากผุดขึ้นในใจ "มีประโยชน์มากมายแต่ทำได้ยากเหลือเกิน เปรียบเหมือนยาขมที่ครูจำเป็นต้องรับประทาน" ดังนั้นบทความนี้จึงนำเสนอเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจว่าการวิจัยในชั้นเรียนนั้นไม่ยากย่างที่คิด

 
การวิจัยในชั้นเรียน ไม่ย


 
ความแตกต่างของการวิจัยในชั้นเรียนกับการวิจัยทั่วไป
               การวิจัยเป็นวิธีการศึกษาหาความรู้ที่เป็นระบบโดยใช้กระบวนการทางวิทยา ศาสตร์ ซึ่งการวิจัยประเภทใดก็ตามจะมีขั้นตอนสำคัญๆ ไม่แตกต่างกันคือ
1.การกำหนดปัญหาการวิจัย
2.การแสวงหาสู่ทางแก้ปัญหา
3.การใช้วิธีการต่างๆ แก้ปัญหา
4.การบันทึกและการปฏิบัติการแก้ปัญหา
5.การสรุปและนำเสนอผลการแก้ปัญหา

               สำหรับการวิจัยในชั้นเรียนมีขั้นตอนการ ดำเนินงานเช่นเดียวกันกับการวิจัยทั่วไป แต่ต่างกันที่การวิจัยในชั้นเรียนมีเป้าหมายเพื่อการแก้ปัญหาและพัฒนาการ เรียนการสอนให้เกิดประโยชน์สูงสุด มิใช่การมุ่งสร้างองค์ความรู้เพื่อพัฒนาหรือขยายองค์ความรู้ในศาสตร์ของตน เอง (ซึ่งหากครูสามารถทำได้ถึงขั้นนี้นับว่าเป็นประโยชน์สูงสุดต่อการจัดการ ศึกษา) ดังนั้นการวิจัยในชั้นเรียนจึงเป็นการทำวิจัยไปพร้อมๆ กับการจัดการเรียนการสอนไม่แยกส่วนออกจากกัน นอกจากนั้นการวิจัยในชั้นเรียนไม่มีรูปแบบการดำเนินงานหรือรูปแบบการเขียน รายงานวิจัยที่เป็นทางการมากนัก อาจจะทำเป็นวิจัยง่ายๆ 4-5 หน้า หรือจะทำเป็นงานวิจัย 5 บท ก็ได้เช่นกัน

กระบวนการวิจัยในชั้นเรียน
               กระบวนการวิจัยในชั้นเรียนที่จะนำเสนอนี้หากท่านลองฝึกคิดและทำตามไปทีละขั้นเชื่อมั่นว่าท่านจะได้งานวิจัย 

เลือกปัญหาการวิจัย
ปัญหาที่นำมาใช้ในการวิจัยพิจารณาได้จาก

-ปัญหาที่เกิดกับตัวนักเรียน อาจจะเป็นปัญหาพฤติกรรมหรือปัญหาการเรียนรู้ ซึ่งครูสามารถค้นหาปัญหาเหล่านี้จากบันทึกท้ายแผนการสอน บันทึกผลการเรียน พอร์ตโฟลิโอ การสังเกต การพูดคุยกับเพื่อนครู ฯลฯ
-
ปัญหาที่เกิดระหว่างการจัดการ เรียน การสอน อาจจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับสื่อการเรียนการสอน การจัดกิจกรรม กระบวนการสอนของครู หรือการวัดประเมินผล เป็นต้น
-
ปัญหาจากความต้องการของครูที่จะพัฒนาคุณภาพการสอนให้ดียิ่งขึ้น

               ในขั้นนี้ท่านอาจจะพบปัญหาหลายปัญหาซึ่ง ในการเลือกปัญหามาทำวิจัยนั้นควรเป็นปัญหาที่มีความสำคัญส่งผลต่อการเรียน รู้และความสำเร็จของนักเรียน เป็นปัญหาที่มีความต่อเนื่องคือถ้าไม่ได้รับการแก้ไขจะส่งผลต่อการเรียนรู้ ของนักเรียนในเรื่องอื่นๆ ตามมา เป็นปัญหาที่วิธีการเดิมๆ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือครูสามารถดำเนินการวิจัยได้ด้วยตนเอง

วิเคราะห์สภาพปัญหา
               ปัญหาที่เลือกว่าจะนำมาทำวิจัย ครูจะต้องศึกษาสภาพให้ละเอียดลงไปอีกว่ามีสภาพปัญหาอย่างไรบ้าง ปัญหาเกิดขึ้นกับเด็กทั้งชั้น หรือเด็กส่วนใหญ่หรือเด็กบางคน

วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา
               ในการวิเคราะห์ควรพิจารณาให้รอบด้านเพื่อทราบสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง เช่น สาเหตุอาจมาจากตัวนักเรียนเอง ผู้สอน เพื่อน ผู้ปกครอง สภาพครอบครัว เป็นต้น วิธีการที่จะค้นหาสาเหตุ คือ ใช้การสังเกต พูดคุยกับนักเรียน ดูจากผลงานของนักเรียน ใช้การทดสอบ การสอบถามพูดคุยกับเพื่อนครู ผู้ปกครอง ฯลฯ
               
หาแนวทางแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้
               จากสภาพปัญหาครูจะทราบว่าการทำวิจัยมีเป้าหมายอะไร กล่าวคือ ถ้าเป็นการวิจัยเพื่อมุ่งพัฒนาการเรียนรู้ ถ้าวิจัยเพื่อมุ่งแก้ปัญหาของนักเรียนบางคน หรือบางกลุ่มจัดเป็นการวิจัยแก้ปัญหา จากตัวอย่างในข้อ 2 อาจจะทำวิจัยในชั้นเรียนได้ 2 เรื่อง คือ วิจัยพัฒนาการเรียนรู้ของชั้นเรียน เนื่องจากมีผลสัมฤทธิ์เฉลี่ยต่ำ หรือวิจัยเพื่อแก้ปัญหาให้แก่นักเรียน 2 คน ที่มีปัญหาการเรียนรู้ค่อนข้างมาก ซึ่งวิธีการที่ใช้ในแต่ละเป้าหมายอาจจะแตกต่างกัน ในการหาแนวทางหรือวิธีการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ ผู้สอนสามารถใช้การสังเกตแล้วเชื่อมโยงกับปัญหาและสาเหตุของปัญหา เช่น สังเกตว่าเวลาที่นักเรียนไปเรียนนอกห้องเรียนแล้วมีความสุข ครูอาจจะใช้วิธีเรียนคณิตศาสตร์จากแหล่งเรียนรู้แก้ปัญหานักเรียนไม่สนใจ เรียนรู้ เป็นต้น หรืออาจจะหาแนวทางจากการศึกษางานวิจัยของผู้อื่นแล้วนำมาปรับใช้ให้เหมาะสม กับนักเรียน

กำหนดชื่อเรื่องวิจัย คำถามวิจัย และวัตถุประสงค์การวิจัย
               เพื่อเป็นการกำหนดเข็มทิศนำทางในการดำเนินการวิจัย จึงต้องกำหนดชื่อเรื่องวิจัน คำถามการวิจัย และวัตถุประสงค์การวิจัย โดยมีหลักการ ดังนี้

ชื่อเรื่องวิจัย ระบุให้ชัดถึงเรื่องที่จะแก้ปัญหาหรือพัฒนา กลุ่มเป้าหมาย และวิธีที่จะนำมาใช้แก้ปัญหาหรือพัฒนา เช่น
  • -ผลของการจัดกระบวนการเรียนรู้โย ใช้แหล่งเรียนรู้ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์และความ สนใจในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/4
    -การแก้ปัญหาพื้นฐานความรู้ด้านการอ่านภาษาไทยและทักษะการคำนวณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/4
คำถามวิจัย กำหนดคำถามนำทางเพื่อให้การดำเนินงานสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่ต้องการคำถามวิจัยกำหนดได้มากกว่า 1 ข้อ เช่น
  • -การเสริมพื้นฐานความรู้ทางด้านการอ่านภาษาไทยและทักษะการคำนวณอย่างเป็นระบบทำได้อย่างไร
    -นักเรียนมีปฏิกิริยาต่อการเข้าร่วมกิจกรรมเสริมความรู้พื้นฐานอย่างเป็นระบบนอกเวลาเรียนอย่างไร
    -การเสริมพื้นฐานความรู้อย่างเป็น ระบบสามารถส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์และความสนใจใน การเรียนรู้ของนักเรียนมากน้อยเพียงใด และอย่างไร
วัตถุประสงค์การวิจัย กำหนดให้สอดคล้องกับชื่อเรื่องวิจัยว่าต้องการทำวิจัยเพื่ออะไร เช่น
  • -เพื่อพัฒนากระบวนการเสริมพื้นฐานความรู้ทางด้านการอ่านภาษาไทยและทักษะการคำนวณอย่างเป็นระบบ
    -เพื่อแก้ปัญหานักเรียนจำนวน 2 คน ที่ขาดความรู้พื้นฐานทางด้านการอ่านภาษาไทยและทักษะการคำนวณโดยใช้กระบวนการ เสริมพื้นฐานความรู้อย่างเป็นระบบ
    -เพื่อศึกษาผลการแก้ปัญหานักเรียน จำนวน 2 คน ที่ขาดความรู้พื้นฐานทางด้านการอ่านภาษาไทยและทักษะการคำนวณโดยใช้กระบวนการ เสริมพื้นฐานความรู้อย่างเป็นระบบ
วางแผนการดำเนินการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้
               ในการวางแผนจะต้องเขียนให้สามารถมองเห็นภาพของการดำเนินงานอย่างชัดเจน ซึ่งอาจจะระบุประเด็นต่อไปนี้
  • -เครื่องมือในการวิจัย โดยระบุทั้งเครื่องมือที่ใช้ในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ เช่น แผนการสอน แผนการแก้ปัญหาโดยการสอน ซ่อมเสริม เป็นต้น และเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น แบบสังเกตพฤติกรรม แบบสัมภาษณ์ แบบทดสอบ เป็นต้น สำหรับการทำวิจัยในชั้นเรียนไม่จำเป็นต้องหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ
    -การเก็บรวบรวมข้อมูล ให้ระบุว่าจะใช้เครื่องมือใดเก็บรวบรวมข้อมูลในช่วงเวลาใด และเก็บอย่างไร
ลงมือปฏิบัติตามแผน เก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูล
               ในขั้นที่ 1-6 เป็นโครงร่างของการวิจัย จากนั้นดำเนินการตามแผน และเก็บรวบรวมข้อมูลตามที่กำหนดไว้ สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลจะต้องมีสถิติเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งการวิจัยในชั้นเรียนส่วนใหญ่ใช้การหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับค่า t-test ใช้กับการทำวิจัยกับกลุ่มตัวอย่างแล้วอ้างอิงไปถึงประชากร ดังนั้นการวิจัยในชั้นเรียนซึ่งเป็นการกระทำกับประชากรอยู่แล้วจึงไม่ควรนำ t-test มาใช้

การสรุปและอภิปรายผลการวิจัย
               การสรุปผลการวิจัยจะต้องสรุปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ และนำเสนอข้อมูลอย่างเป็นระบบ อาจจะในรูปตาราง แผนภูมิ แผนภาพ หรือเขียนบรรยาย ส่วนการอภิปรายผลเป็นการกล่าวว่าผลจากการวิจัยเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้หรือ ไม่ เพราะเหตุใด สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้อื่นทำไว้หรือไม่ หรือผู้วิจัยมีแนวคิดอะไรเพิ่มเติมจากการทำวิจัยในครั้งนี้บ้าง

การเขียนรายงานวิจัยในชั้นเรียน
               การเขียนรายงานวิจัยในชั้นเรียนไม่มีรูปแบบที่เป็นทางการเหมือนการวิจัยทั่ว ไป ดังนั้นอาจจะเขียนบรรยายตามหัวข้อที่กล่าวมาข้างต้น หรือจะใช้รูปแบบที่เป็นทางการตามความคุ้นเคยก็ได้เช่นกัน

               จะเห็นได้ว่าการวิจัยในชั้นเรียนเป็นกระบวนการที่ดำเนินงานไปพร้อมๆ กับการจัดการเรียนการสอน มีขั้นตอนสำคัญๆ เหมือนกับการวิจัยทั่วไป แต่ไม่มีรูปแบบที่เป็นทางการ และการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้เพียงสถิติที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ทราบอย่างนี้แล้วคุณครูคงไม่ต้องวิตกกังวลกับการทำวิจัยในชั้นเรียนอีกต่อไป
 




ขอบคุณข้อมูลจาก  http://www.myfirstbrain.com
                          http://www.kroobannok.com/8500
ภาพประกอบจาก     trf2.trf.or.th





Eduzones Expo 2015
link : http://expo.eduzones.com/2015/
 

วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2558

ความสุขที่ไม่มีวันจาง "รับลมชมวิว โฮมสเตย์"

สืบเนื่องจากการเดินทางไปทำบุญ พ่อ และ บรรพบุรุษ รวมถึงญาติๆ ผู้ล่วงลับ
ระหว่างวันที่ 15-18 มกราคม 2558 ที่ผ่านมา

และได้มีโอกาสพาคุณแม่ น้า หลานๆ ไปพักผ่อนที่ "รับลมชมวิวโฮมสเตย์"
บ้านท่าหยี ม.6 ต.ห้วยลึก อ.ควนเนียง จ.สงขลา

จึงอยากจะนำภาพถ่ายที่ถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ ซัมซุง รุ่น โน๊ต 3
อาจจะมีบางภาพที่ผ่านการตกแต่ง เพื่อสร้างอารมณ์ในการเล่าเรื่องนะครับ
(แต่โดยส่วนใหญ่คือภาพที่ถ่ายสด ไม่ได้ตกแต่ง)

รับลมชมวิวโฮมสเตย์ เป็นโฮมสเตย์เล็กๆ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ครบเท่าที่ความต้องการพื้นฐานจำเป็น มีอาคารพักสองแบบ คือแบบมีห้องน้ำในตัว และห้องน้ำรวม

เมื่อตอนที่ผมเดินทางไปทั้งหมด ผู้ใหญ่ 6 เด็ก 3 สามารถพักได้อย่างเพียงพอสำหรับ 2 ห้อง

มีห้องประชุม ที่มีเวทียกพื้นเพื่อใช้เป็นงานเป็นการ สามารถรับผู้เข้าพักแบบหมู่คณะได้ถึง 30 คน

ด้วยความที่ไปถึงในเวลากลางคืน จึงไม่ได้เก็บภาพ รอบๆ บริเวณมาฝากแต่ท่านทั้งหลานสามารถเข้าชมได้ที่เฟชบุคของ รับลมชมวิวโฮมสเตย์
https://www.facebook.com/RabLmChmWiwHomStey?ref=ts&fref=ts

แต่ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า หากท่านต้องการพาครอบครัวไปพักผ่อน แบบสงบๆ เงียบๆ
ทานอาหารพื้นบ้าน ทานอาหารทะเลที่เป็นกลุ่มทะเลสาบสงขลา ที่ปลอดสารพิษ เนื่องจากเป็นการทำประมง ในทะเลสาบน้ำกร่อย ท่านจะได้ชิมอาหารทะเลตามฤดูกาลนั้นๆ

เวลาที่นัดหมายเพื่อออกล่องเรือชมทิวทัศน์ตอน 6.00 น. แต่พวกเราสายกัน เพราะนอนสบายเหลือเกินไม่อยากตื่น อิอิ เลยเลทไปนิดหน่อย


แต่ถึงแม้เราจะออกมาสายเล็กน้อยก็ไม่ได้ทำให้ความสวยงามลดลงแต่อย่างใด


ท้องน้ำสงบนิ่ง ดังกระจกเงาสะท้อนท้องฟ้า สวยงาม ท้าทายนักบันทึกภาพเป็นอย่างมาก


แม้เพียงกล้องมือถือธรรมดา ยังดึงดูดให้ผมรัวชัตเตอร์กับภาพที่อยู่ตรงหน้าไม่หยุด


ดังภาพสีน้ำที่จิตรกรมากฝีมือรังสรรค์ สุดท้าย ธรรมชาติต่างหาก คือผู้ส้รางสรรค์ให้จิตกรเหล่านั้นหลงไหล


ความงดงามที่ไม่มีซ้ำกัน ของแต่ละวัน วันนี้โชคดีมาก ท้องฟ้าประดับด้วยเมฆบางๆ


ถึงขนาดที่ผมเอง ไม่อยากละสายตาจากความงามตรงหน้าแม้วินาทีเดียว


ยิ่งร้อยเรื่องราวของชาวประมงชายฝั่ง ที่ยังคงกลิ่นอายวัฒนธรรมพื้นบ้านอยู่อย่างครบถ้วน


วัฒนธรรมที่ยังสวยงาม ทักทายปราศรัย ที่หาไม่ได้แล้วในเมืองใหญ่


สวยงามจริงๆ


ผมเชื่อว่า หากตากล้องได้เจอภาพเหล่านี้ จะต้องถ่ายทอดภาพออกมาได้ดีกว่าผมมาก


ยังครบถ้วนประมงทะเลสาบสงขลา


สวยงาม ไม่ผ่านแอป


สวยเหลือเกิน ผมไม่เวอร์ไปใช่ไหมครับ


เพียงแค่เราเบนกล้อง เราก็จะได้อีกอารมณ์นึง


วิถีชาวประมงพื้นบ้าน


เรียบง่าย ไม่ทำร้ายธรรมชาติ


รูปท้องฟ้าดวงอาทิตย์เยอะหน่อย เพราะผมชอบภาพแนวนี้ อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ


ชอบภาพแบบนี้มากๆ ครับ


โฉมหน้าผู้ร่วมทริปครั้งนี้


ยกยอ ดูภาพเอานะครับ


สงบ เย็น สุข


ทดลองเปิด google map ผมอยู่ในคลอง อิอิ


แสงทองส่องประกายสาดฟ้า


อุปกรณ์ความปลอดภัยตามมาตรฐาน

 
^^


ภาพอาจจะมีสลับไป มา บ้าง นะคับ


อยากจะบอกว่า ที่ตรงนี้ ยังมีความสงบที่จะดึงเอาความวุ่นวายออกจากใจของคุณ


วิถีไทย เดิมๆ


ทิ้งความวุ่นวายไว้ข้างหลัง แล้วเงยหน้ามองหาความสงบ เพื่อเพิ่มพลังในใจ


ได้เห็นระบบนิเวศน์ที่ไม่ใช่มีแค่ในหนังสือ


สดชื่น


สบาย


สดใส


เรียนรู้


เบิกบาน


ครั้งนี้ โชคดีมาก ได้เห็นเหยี่ยว ลงโฉบ จับปลากินที่ผิวน้ำด้วย เหยี่ยมเยอะมากครับ


ฟองคลื่นทำให้เกิดการกระจายตัวของน้ำส่งเป็นความเย็นปะทะใบหน้าตลอดการเดินทาง


รื่นรมย์


วัฒนธรรมริมน้ำยังคงอยู่ ถึงแม้ วัฒนธรรมริมถนนจะก้าวย่างเข้ามาอย่างต่อเนื่อง


ภาพสุดท้าย ที่ผมรู้สึกชอบเป็นการส่วนตัว

สุดท้าย สิ่งที่ได้จากการชมทิวทัศน์และธรรมชาติในครั้งนี้ คือ ความร่มรื่น สงบ เรียบง่าย
สิ่งที่ได้ทำ คือ ปล่อยวาง ดื่มด่ำ และรู้สึกได้รับพลังจากธรรมชาติ กลับมาเผชิญกับงาน และภาระ
ที่ต้องรับผิดชอบในโลกแห่งการทำงาน การแข่งขัน และต่อสู้ต่อ อย่างน้อยผมมั่นใจว่า ผมได้เพิ่ม
ปริมาณออกซิเจน เพื่อการฟอกเลือดให้ไปเลี้ยงสมองเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

สำคัญที่สุด คือ ลุงชิต ผู้จัดการโฮมสเตย์ ที่ให้ความเอาใจใส่ ดูแล พวกเราเป็นอย่างดี
หากขาดเหลืออะไร อยากได้อะไร ที่ไม่เกินวิสัยของความจำเป็น ก็ลองพูดคุยกับลุงชิตดูครับ
(ตามเฟชบุ๊คเอาจากลิ้งค์ข้างต้นนะครับ)