วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

Daihatsu Mira e:S


ถ้าหากถามว่ารถยนต์ซิตี้คาร์รุ่นอะไรที่เคยผ่านตาคนไทยมาแล้วในอดีต ชื่อหนึ่งที่จะถูกพูดถึงนั้นก้คงไม่พ้น Daihatsu Mira ที่แม้มันจะไม่จำหน่ายในไทยแล้วก้ตามแต่หลายคนก็ยังคิดถึงและใฝ่หา ที่วันนี้ที่ญี่ปุ่นเปิดตัวรถรุ่นใหม่ที่มาพร้อมตัวเลข 30กิโลเมตรต่อลิตร
Daihatsu Mira e:S
Daihatsu Mira e:S นับเป็นการกลับมาอีกครั้งของซิตี้คาร์คันจิ๋วในประเทศญี่ปุ่นหลังจากเมื่อช่วง 2 ปีก่อนหน้านี้ ค่ายรถยนต์เจ้านี้เคยเผยตัวถังแบบ 3 ประตู ออกมาเป้นต้นแบบ แต่เมื่อเอาเข้าจริงมันก็กลายเป็นรถ 5 ประตู ที่เผยความเป้นตัวตนตั้งแต่บรรพบุรุษ
เส้นสายที่งดงามและอ่อยช้อยในแบบฉบับเล็กน่ารักนั้นยังตอบโจทย์ที่ถ่ายทอดจากรุ่นเก่าสู่รุ่นปัจจุบันผ่านความน่ารักตั้งแต่ใบหน้าจรดบั้นท้ายอย่างลงตัวในแบบรถยนต์ 5ประตู มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ หรือถ้าชอบขับสนุกอีกนิดในสไตล์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ก็สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ และรุ่นใหม่นี้ยังมีน้ำหนักเบาะกว่ารุ่นเก่าถึงเปือบ 60 กิโลกรัมมาพร้อมล้ออัลลอยขอบ 14 นิ้ว รัดด้วยยาง 155/65 R14
Daihatsu Mira e:S
ใต้ฝากระโปรงนั้นตามกฏของรถ Kei Car นั้นจะต้องใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กไม่เกิน 660 ซีซี ซึ่ง Daihatsu Mira e:S นี้ก็ใช้ขุมพลัง 3 สูบ 658 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 52 แรงม้า ที่ 6800 รอบต่อนาที และแรงบิด 60 นิวตันเมตร ทั้งหมดจับคู่พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT และเมื่อทดสอบในโหมด JC08 ที่มาแทน 10-15 สามารถพิชิตตัวเลข 30 กิโลเมตร/ลิตรได้อย่างสบาย หรือถ้าเทียบมาตรฐานเดิมนั้นได้ก็ประมาณ 32 กิโลเมตรต่อลิตรเท่านั้น
Daihatsu มั่นใจว่า Daihatsu Mira e:S นั้นจะสามารถจำหน่ายได้มากถึง 10,000คันต่อเดือนในช่วงขวบแรก และยังจำหน่ายในหลายประเทศ รวมถึงอินโดนีเซียด้วย

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

TATA Megapixel คอนเซ็ปท์คาร์พลังไฟฟ้าระดับโลก


TATA Megapixel

TATA Megapixel

TATA Megapixel

TATA Megapixel

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก tatamotors.co.thfacebook TATA MEGAPIXEL 2012 

          เห็นเป็นค่ายรถเล็ก ๆ อย่างนี้ แต่มีของดีที่น่าสนใจไม่เบา สำหรับ "ทาทา" (TATA) ค่ายรถยนต์ชื่อดังจากแดนภารตะ ที่นอกจากจะเคยผลิตรถยนต์ในราคาย่อมเยามาแล้วนั้น มา ณ ตอนนี้พวกเขาได้ผลิตซิตี้คาร์ ซึ่งเป็นรถพลังงานไฟฟ้าออกมา และยังได้โชว์ตัวรุ่นนี้ที่ "เจนีวา มอเตอร์โชว์" ครั้งที่ 82 มาแล้วด้วย

          ซิตี้คาร์พลังไฟฟ้าที่ว่านี้ได้แก่ "Megapixel" รถที่เกิดขึ้นจากการต่อยอดและพัฒนามาจากรถรุ่นก่อนของพวกเขาอย่าง "Pixel" โดย Megapixel ได้รับความร่วมมือจากศูนย์ออกแบบในอินเดีย สหราชอาณาจักร และอิตาลี ซึ่งมีแนวคิดในการออกแบบเพื่อให้เป็นรถซิตี้คาร์ที่สะท้อนมุมมองและความต้องการของผู้ใช้รถในมหานครใหญ่ ๆ ทั่วโลก

          Megapixel เป็นรถแบบ 4 ที่นั่ง ที่มีชุดสนับสนุนกำลังไฟฟ้าที่เกิดจากการทำงานร่วมกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้พลังงานน้ำมันเบนซิน โดยจะทำหน้าที่ชาร์จกำลังไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่ นี่เองเลยทำให้ Megapixel สามารถใช้งานได้ในระยะทางไกลกว่า 900 กิโลเมตรด้วยน้ำมัน 1 ถัง แถมยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย เพราะมีค่าไอเสียอยู่ที่ 22 กรัมต่อกิโลเมตร และมีอัตราสิ้นเปลืองแค่ 100 กิโลเมตรต่อลิตร (จากการใช้พลังงานของแบตเตอรี่เท่านั้น)

TATA Megapixel

          นอกจากนั้นแล้ว Megapixel ยังใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ "ซีโร่เทิร์น" (Zero Turn) ระบบขับเคลื่อนระดับชั้นนำ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมีมอเตอร์ไฟฟ้าติดตั้งแยกการทำงานกันอิสระทั้ง 4 ล้อ ส่งผลให้มีความคล่องตัวสูงสำหรับการใช้งานในเมือง เพราะ Megapixel สามารถเลี้ยวกลับรถหรือการเข้าจอด ด้วยรัศมีวงเลี้ยวเพียงแค่ 2.8 เมตร เท่านั้น

          ในส่วนของรูปลักษณ์ภายนอกนั้น จะเป็นไปในแนวทางของกราฟฟิคแบบฉบับอินเดีย โดยมีไฟหน้าและกระจังหน้ารถเป็นเส้นสายโค้งมน ซึ่งให้ความรู้สึกคล่องตัวมากขึ้น ตามด้วยหลังคาแบบพาโนรามิคสะท้อนให้เห็นถึงการสร้างสรรค์ประสานกันระหว่างแสงและเงาบนตัวรถและเพิ่มมุมมองภายในห้องโดยสารให้ดูกว้างขวางมากกว่าเดิม

          ส่วนทางด้านการออกแบบประตู จะใช้เป็นประตูเลื่อนแบบ Double-sliding แนบไปกับด้านข้างตัวรถ ใช้ล้อแบบ 5 ก้าน ตามด้วยดีไซน์ภายในห้องโดยสารที่มีแผงคอนโซล ซึ่งออกแบบให้สามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายในรถ พร้อมจอภาพแบบทัชสกรีนขนาดใหญ่ที่เป็นเสมือนแผงหน้าปัดและศูนย์กลางควบคุมอุปกรณ์ ฟังก์ชั่น หรือเช็คข้อมูลต่าง ๆ ของรถ เช่น อุณหภูมิ ระบบปรับอากาศ รูปแบบการขับขี่ หรือ ข้อมูลสมรรถนะของรถ

          เรียกได้ว่าเป็นคอนเซ็ปท์คาร์ที่มีความน่าสนใจมาก ๆ แถมยังเป็นรถที่ผูกมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขนาดนี้ ต้องขอยกนิ้วให้กับทีมงานของ ทาทา จริง ๆ !!

TATA Megapixel


คลิป Tata Megapixel

จาก กระปุก

วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2555

E+ Green Home ..บ้านในยุคหน้าที่เกาหลีใต้เริ่มต้นแล้ว ไอเดีย เก๋ กู้ด


E+ Green Home ..บ้านในยุคหน้าที่เกาหลีใต้เริ่มต้นแล้ว


บ้านหลังนี้ ชื่อว่า E+ Green Home ตั้งอยู่ที่ Kyeong-Gi ในเกาหลีใต้ มีความโดดเด่น แตกต่างจากบ้านอื่นๆในเกาหลีใต้  ไม่เพียงแต่หน้าตา แต่ประโยชน์ใช้สอยของบ้านก็ไม่ธรรมดา เข้ายุค Go Green อย่างแท้จริง เป็นอย่างไรบ้างลองไปดูกันเลยค่ะ
E+ Green Home ตั้งอยู่บนเนินเขา มีขนาดกว้างขวาง พื้นที่ของบ้านปกคลุมไปด้วยสวนแนวตั้ว และ หลังคาเขียว เป็นบ้านสีเขียว..Green Home ต้นแบบเลยก็ว่าได้ ออกแบบโดย Kolon and Unsangdong ด้วยความหวังว่า ชาวเกาหลีใต้ที่กำลังเริ่มเบื่อหน่ายกับอพาร์ตเม้นต์คอนกรีต ที่กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน อาจจะหันมาสนใจบ้านแบบใหม่ที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่าง E+ Green Home และเลือกที่จะอยู่ในบ้านแบบนี้มากขึ้น
กำแพง E+’s walls เป็นมากกว่าผนังที่สวยงาม มันเป็นทั้ง แผงผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ กำแพงปลูกผัก และยังอีกหลากหลาย เทคโนโลยีสีเขียว (green technologies) ที่ช่วยทำให้บ้านหลังนี้ใช้พลังงานเพียง 27% เมื่อเทียบกับการใช้พลังงานของบ้านทั่วๆไปในเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นตัวเลขการประหยัดพลังงานที่ยอดเยี่ยมมากๆ ในการจัดอันดับของ German Passive House standards
เนื่องจาก E+ Green House ยังเป็นบ้านต้นแบบ ยังไม่ได้มีการผลิตจริง แต่สำหรับใครที่อยากทดลองอยู่ใน E+ Green House หลังนี้ เพื่อให้ได้ความรู้สึก การอยู่ในบ้านแบบGo Green จริงๆ ก็สามารถจองเข้าพักได้
บริษัทผู้ออกแบบ และผลิต Green Home หลังนี้ ..หวังว่า E+ จะไม่ได้เป็นบ้านที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพียงหลังเดียวเท่านั้น  แต่เป็นหลังแรก ที่่จะมี Green Home แบบนี้ถูกสร้างตามๆมา ทั่วประเทศเกาหลีใต้ …ก็ขอเอาใจช่วยเต็มที่ ….ให้ E+ กระจายไปทุกๆที่ทั่วโลก รวมถึงที่บ้านเราด้วย ^ ^

 E+ Green Home ..บ้านในยุคหน้าที่เกาหลีใต้เริ่มต้นแล้ว 25550330 225706
 E+ Green Home ..บ้านในยุคหน้าที่เกาหลีใต้เริ่มต้นแล้ว 25550330 225744
ผนังปลูกผัก หลักคาก็ปลูกผัก และผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ มองไปที่ไหนก็มีแต่สีเขียว
 E+ Green Home ..บ้านในยุคหน้าที่เกาหลีใต้เริ่มต้นแล้ว 25550330 225753
 E+ Green Home ..บ้านในยุคหน้าที่เกาหลีใต้เริ่มต้นแล้ว 25550330 225801
 E+ Green Home ..บ้านในยุคหน้าที่เกาหลีใต้เริ่มต้นแล้ว 25550330 225810
 E+ Green Home ..บ้านในยุคหน้าที่เกาหลีใต้เริ่มต้นแล้ว 25550330 225815
 E+ Green Home ..บ้านในยุคหน้าที่เกาหลีใต้เริ่มต้นแล้ว 25550330 225834
 E+ Green Home ..บ้านในยุคหน้าที่เกาหลีใต้เริ่มต้นแล้ว 25550330 225846
 E+ Green Home ..บ้านในยุคหน้าที่เกาหลีใต้เริ่มต้นแล้ว 25550330 225856

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555

ใครสนมิราจ เชิญทางนี้

มิตซูบิชิ มิราจ ให้คุณได้มากกว่าอีโคคาร์
หลังจากที่บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว “มิตซูบิชิ มิราจ” อีโคคาร์คันแรกของมิตซูบิชิไปอย่างเป็นทางการไปแล้วนั้นโดยได้นิชคุณ ดารานักร้องชื่อดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับมิตซูบิชิ มิราจ พร้อมกับเปิดราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 380,000 – 546,000 บาท พร้อมแคมเปญพิเศษอีกมากมาย โดยค่ายมิตซูบิชิไม่รอช้าได้จัดให้มีการทดสอบมิตซูบิชิ มิราจ ขึ้นในวันถัดมาที่สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต พัทยา  ทีมงาน AUTO-Thailand ก็ไม่พลาดการทดสอบมิตซูบิชิ มิราจในครั้งนี้





สำหรับการทดสอบมิตซูบิชิ มิราจ แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ ช่วงทดสอบอัตราความสิ้นเปลืองเชื้องเพลิง  และช่วงทดสอบสมรรถนะรถในสนามพีระฯ


testdrive mitsubishi mirage


โดยช่วงแรกทดสอบอัตราความสิ้นเปลืองเชื้องเพลิงนั้นก็เป็นสิ่งที่ท้าทายคณะสื่อมวลชนที่ร่วมทดสอบเหมือนกัน เนื่องจากมิตซูบิชินั้นมีการเคลมไว้ว่า มิตซูบิชิ มิราจ ทำอัตราความสิ้นเปลืองเชื้องเพลิง ได้ที่ 22 กิโลเมตรต่อลิตร สำหรับการทดสอบนั้นใช้มิตซูบิชิ มิราจ 4 คัน แบ่งป็นเกียร์อัตโนมัติ 3 คัน เกียร์ธรรมดา 1 คัน แต่ละคันมีผู้ทดสอบนั่งคันละ 2 คนสลับกันทดสอบ โดยใช้เส้นทางจากสนามพีระฯวิ่งไปที่พัทยา แล้ววนกลับมาเช็กอัตราความสิ้นเปลืองเชื้องเพลิง  ระยะทางรวมประมาณ 130 กิโลเมตร เส้นทางทั่วไปส่วนใหญ่ก็เป็นเส้นทางตรงยาวๆ  ความเร็วที่ใช้ก็เป็นความเร็วใช้งานทั่วไป 80-90-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อาจมีบางช่วงที่ใช้ความเร็วมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ  แต่ตลอดการทดสอบจะมีรถทีมงานคอยนำตลอดเส้นทาง


testdrive mitsubishi mirage


testdrive mitsubishi mirage


ตลอดเส้นทางใช้รอบความเร็วให้นิ่งเท่าที่จะทำได้ โดยมีตัวช่วยเป็นไฟ ECO แสดงที่หน้าปัดถ้าเราขับขี่ด้วยความประหยัด ผลการทดสอบอัตราความสิ้นเปลืองเชื้องเพลิงเฉลี่ยออกมาสูงสุดที่ 28.43  กิโลเมตรต่อลิตร ในมิตซูบิชิ มิราจ  รุ่นเกียร์ธรรมดา และ 24.608  กิโลเมตรต่อลิตร ในมิตซูบิชิ มิราจ  รุ่นเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่าที่โฆษณาไว้ เพราะเท่าที่เราขับกันนั้นเป็นความเร็วใช้งานจริง แต่ต้องอาศัยการขับในรอบที่นิ่งหน่อยก็สามารถที่จะให้ความประหยัดได้ไม่ยาก


testdrive mitsubishi mirage


ช่วงที่สองทดสอบสมรรถนะรถในสนามพีระฯ รูปแบบการทดสอบใช้เส้นทางทั้งสนามพีระฯ แบ่งออกเป็น 4 สถานีทดสอบ โดยแต่ละสถานีก็จะมีรูปแบบเพื่อให้เห็นถึงสมรรถนะด้านต่างๆของมิตซูบิชิ มิราจ  สำหรับการทดสอบนั้นใช้มิตซูบิชิ มิราจ 4 คัน แบ่งป็นเกียร์อัตโนมัติ 3 คัน เกียร์ธรรมดา 1 คัน  รถแต่คันขับคนเดียว เรียกว่าให้ใส่กันเต็มๆไปเลย  หลังจากรับฟังบรรยายรูปแบบและเส้นทางการทดสอบ พร้อมกับนั่ง มิตซูบิชิ มิราจ ไปกับ Instructor ดูไลน์สนามและสถานีทดสอบแล้วก็มาเริ่มทดสอบขับเอง


testdrive mitsubishi mirage


ทีมงาน AUTO-Thailand  เริ่มจากการทดสอบกับมิตซูบิชิ มิราจ เกียร์อัตโนมัติ ในสถานีที่ 1 เป็นการทดสอบอัตราเร่งโดยใช้เส้นทางตรงของสนามพีระฯเป็นสถานีทดสอบ มิตซูบิชิ มิราจ เกียร์อัตโนมัติ สามารถตอบสนองอัตราเร่งได้เป็นที่น่าพอใจ จากเครื่องยนต์ 3 สูบ 12 วาล์ว 78 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ แรงบิดสูงสุด 100 นิวตันเมตร แม้จะไม่ได้ปรูดปร้าดมากมายอะไร แต่ก็เพียงพอกับการใช้งาน เกียร์อัตโนมัติ INVECS-III CVT ทำงานได้ราบรื่น นุ่มนวลใช้ได้


testdrive mitsubishi mirage


ในสถานีที่สองเป็นช่วงโค้งซ้ายขึ้นเขา  เพื่อให้ลองอัตราเร่งในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมิตซูบิชิ มิราจ เกียร์อัตโนมัติ ก็สามารถใช้พละกำลังที่มีเอาตัวรอดมาได้  มาถึงสถานีที่สามเป็นการทดสอบแบบสลาลอมเน้นสมรรถนะช่วงล่างการบังคับควบคุมพวงมาลัย มิตซูบิชิ มิราจก็ให้ความคล่องตัว น้ำหนักในการควบคุมพวงมาลัยถือว่าเบามือควบคุมง่าย  ช่วงล่างในช่วงขับเข้าสลาลอม ก็ทำได้น่าพอใจ แต่ก็แล้วแต่ความชอบ บ้างท่านที่ทดสอบก็บอกว่าช่วงล่างนิ่มไป น่าจะเช็ตให้แข็งกว่านี้สักหน่อยก็ว่ากันไป  แต่ในสถานีนี้สัมผัสได้ว่ายางรถยนต์ที่ให้ติดรถมาขนาดค่อนข้างเล็กไปนิด ถ้าเปลี่ยนยางให้มีขนาดหน้ากว้างขึ้นอีกหน่อย มิตซูบิชิ มิราจจะขับสนุกขึ้นอีกแน่นอน


testdrive mitsubishi mirage


หลุดจากสถานีสลาลอม เป็นสถานี Lane Change -  Handling Test  โดยใช้ช่วงสนามบริเวณโค้ง IRC มีการตั้งไพล่อนบีบทางไว้  โดยเริ่มจากหยุดนิ่งหลังจากได้รับสัญญาณธงก็วิ่งด้วยความเร็วพอประมาณ  เส้นทางรูปแบบอาจจะคล้ายๆตัวเอส  มิตซูบิชิ มิราจ ก็สามารถทำได้ดีเมื่อต้องเปลี่ยนเลนกะทันหัน แต่ก็มีอาการบ้างหากใช้ความเร็วสูง


testdrive mitsubishi mirage


มาถึงอีกจุดทดสอบที่ใช้ในการโชว์สมรรถนะวงเลี้ยวที่แคบกับมิตซูบิชิ มิราจ โดยตั้งไพล่อนไว้ค่อนข้างพอดีกับตัวรถแล้วให้หมุนพวงมาลัยขวาสุดแล้วปล่อยไหลไป มิตซูบิชิ มิราจ สามารถจะผ่านช่องไพล่อนได้อย่างสบาย เรียกได้ว่าเจอที่แคบๆก็สามารถใช้งานได้อย่างคล่องตัวเลยทีเดียว


testdrive mitsubishi mirage


หลังจากจบรอบทดสอบในมิตซูบิชิ มิราจ เกียร์อัตโนมัติแล้ว ทีมงาน AUTO-Thailand ได้มีโอกาสทดสอบในมิตซูบิชิ มิราจ  เกียร์ธรรมดา อีกหนึ่งรอบในเส้นทางและรูปแบบเดิม  อารมณ์ที่ได้นั้นอยากบอกว่า ขับสนุกกว่าเกียร์อัตโนมัติทั้งอัตราเร่งในทางตรงที่ลากรอบกันจนตัดที่ 6,500 รอบ แล้วเปลี่ยนเกียร์ โดยสุดทางตรงสนามพีระฯสามารถทำความเร็วได้กว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลย   ส่วนเวลาลากขึ้นทางชันก็ตอบสนองและเรียกอัตราเร่งได้รวดเร็วกว่า  แต่ในเรื่องความสะดวกสบายก็อาจจะไม่เท่าในมิตซูบิชิ มิราจ เกียร์อัตโนมัติ อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลอีกครับ


testdrive mitsubishi mirage


เกือบลืมไป...ในช่วงที่รอคิวทดสอบ ทีมงาน AUTO-Thailand ก็มีโอกาสไปนั่งสำรวจอุปกรณ์ต่างๆในมิตซูบิชิ มิราจ ที่โดยรวมแล้วก็ถือว่าให้ออพชั่นต่างๆ มาครบถ้วน วัสดุภายในก็ถือว่าพอใช้ได้ ความกว้างขวางของห้องโดยสารก็สะดวกสบายดี และเมื่อรวมกับแคมเปญที่มิตซูบิชิจัดมาให้อีกเพียบ  เรียกว่างานนี้คงตัดสินใจเลือกอีโคคาร์ที่คันไม่เล็กอย่างมิตซูบิชิ มิราจ มาใช้ได้ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ...ลองไปขับดูแล้วตัดสินใจครับ...
 

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

SWIFTปะทะMIRAGE 2ตัวเลือกใหม่"อีโค คาร์"


คอลัมน์ รถใหม่




สร้าง สีสันให้กับตลาดรถยนต์ "อีโค คาร์"ให้ตื่นตัว จนกลายเป็น กระแสฟีเวอร์แทบจะทันที หลังจากที่ 2 ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ทั้งมิตซูบิชิ ส่ง "มิราจ ใหม่"และ ซูซูกิ จัด "สวิฟท์ ใหม่"เปิดตัวไล่เลี่ยกันในสัปดาห์ที่ผ่านมา

เรามาทำความรู้จักกับรถทั้ง 2 รุ่นนี้พร้อมๆ กันไปเลย

เริ่มจากมิตซูบิชิ พัฒนา มิราจ ใหม่ พร้อมกับตอกย้ำว่า เป็นรถยนต์อีโค คาร์ ตัวจริงเสียงจริง ตามเงื่อนไขทุกประการ

ดีไซน์ภายนอกเส้นสายเรียบง่าย แต่ปราดเปรียวตามแนวคิดรถ อีโค คาร์ ที่เน้นความประหยัดพลังงาน และมลพิษต่ำ

ฝากระ โปรงหน้า ออกแบบให้เสริมความเด่นของตัวรถสอดรับกับไฟหน้าดีไซน์โฉบเฉี่ยว กระจังหน้าใต้กันชนขนาดใหญ่ ระบายความร้อนได้ดีกระจังหน้าด้านบนขนาดเล็ก ลดแรงต้านอากาศ

แม้จะรูปทรงปราดเปรียว แต่หลังคายังคงมีพื้นที่ให้ผู้โดยสารตอนหลังนั่งได้อย่างสบาย โดยหลังคาเป็นแบบ 2 ระดับ ช่วยลดแรงต้านอากาศได้อีกทางหนึ่ง

สปอยเลอร์ หลัง เท่อย่างลงตัว อีกทั้งสอดคล้องกับหลักอากาศพลศาสตร์ ทั้งหมดทั้งมวล จึงเป็นที่มาของค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอยู่ที่ 0.29 นัยว่าดีที่สุดในเซ็กเมนต์เดียวกัน

ภายในเลือกโทนสีดำ เน้นความเรียบง่ายมาตรวัดปรับแสงสว่างได้ 8 ระดับ ที่นั่งคนขับปรับสูงต่ำได้ เบาะหลังพับปรับแบบ 60:40 เพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระ

มีฟังก์ชั้นการใช้งานตอบรับไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นระบบกุญแจอัจฉริยะ ปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์

เครื่อง เสียงมาพร้อมหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ติดตั้งระบบบลูทูธและเนวิเกเตอร์ มีช่อง AUX และ USB สำหรับเชื่อมต่อสื่อบันเทิงภายนอก

และยังมีความสะดวกสบายอีกมาก เช่นใบปัดน้ำฝนหลังปัดต่อเนื่อง เมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง เพิ่มทัศนวิสัยหรือระบบปิดไฟหน้าอัตโนมัติ

ขุม พลังเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร แบบ 3 สูบ DOHC MIVEC 12 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 78 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที

มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ CVT 6 สปีด ซึ่งจากการทดสอบอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันภายในของมิตซูบิชิอยู่ที่ 22 กิโลเมตรต่อลิตร

ระบบกันสะเทือนหน้า อิสระแม็กเฟอร์สันสตรัต หลังแบบทอร์ชั่น บีม แข็งแรง ทนทาน ดูแลรักษาง่าย

ราคาเริ่มต้นรุ่นเกียร์อัตโนมัติอยู่ที่ 460,000-546,000 บาท

ด้าน ซูซูกิ สวิฟท์ แม้จะได้เคยทดสอบสมรรถนะกันไปแล้ว หลายสัปดาห์ก่อน แต่ด้วยความที่ข้อมูลด้านตัวรถและเทคนิคมีมาให้น้อยไปหน่อย

วันนี้มาจัดให้แบบเต็มๆ ดีไซน์ภายนอกยังคงรูปโฉม อันเป็นเอกลักษณ์ เส้นสายไม่ซ้ำใคร คล้ายกับสวิฟท์รุ่นก่อน

ด้านหน้าออกแบบให้มีความโค้งแบบ U-shape ไฟหน้าแนวตั้งขนาดใหญ่ แบบมัลติรีเฟล็กเตอร์พร้อมไฟตัดหมอกแบบฮาโลเจน

ภายในโดดเด่นทั้งมุมมองและฟังก์ชันการใช้งานเน้นโทนสีดำตัดกับสีเงิน มาตรวัดและจอแสดงข้อมูลการขับขี่อ่านค่าง่าย

พวง มาลัยหนังแท้พร้อมระบบควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ชุดเครื่องเสียงพร้อมช่อง USB สำหรับเชื่อมต่อเครื่องเล่นดิจิตอลภายนอก

เบาะนั่งด้านหน้าปรับระดับได้หลากหลายรูปแบบด้านหลังปรับพับได้ 60:40 แยกอิสระ เพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้มากขึ้น

เครื่อง ยนต์เบนซิน ขนาด 1,242 ซีซี. 4 สูบ 16 วาล์ว ระบบวาล์วแปรผันทั้งไอดี และไอเสียระบบขับเคลื่อนเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ให้กำลังสูงสุด 91 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 118 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบต่อนาที

ระบบกันสะเทือนหน้า แม็กเฟอร์สัน สตรัตพร้อมคอยล์สปริง หลัง ทอร์ชั่นบีม พร้อมคอยล์สปริง ให้ความนุ่มนวลแต่ยังคงยึดเกาะถนนได้ดี

ใครที่จดๆ จ้องๆ มองอีโค คาร์ ไว้แต่ยังไม่รู้จะตัดสินใจคันไหน ลองแวะไปเยี่ยมชมได้ที่โชว์รูมของทั้ง 2 ค่าย แล้วลองเปรียบมวยกันดู

เกียร์อัตโนมัติราคาเริ่มต้นที่ 469,000-559,000 บาท

โดยทั้ง 2 รุ่นหากเป็นเกียร์ธรรมดาราคาจะถูกกว่านี้

ชอบรุ่นไหน สนใจแบบใดแวะไปดูตัวเป็นๆ กันได้ทั้งที่โชว์รูม หรือในงานมอเตอร์โชว์ 28 มี.ค.- 8 เม.ย. นี้ ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี
ที่มา  ข่าวสด

Mirage ตัวอ่อน ฉลามร้ายสายพันธ์ EVO

หากใครที่ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์กลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็กของแบรนด์ Mitsubishi ก็น่าจะพอ
ทราบดีว่า Mitsubishi ได้ตัดสินในยุติการพัฒนา Colt รถท้ายตัดทรงสวยรุ่นต่อไปแล้วหันมาพัฒนารถยนต์ขนาดเล็ก
ประหยัดน้ำมัน ดูแลรักษาง่าย ราคาไม่แพงในนาม Mirage ซึ่งเป็นรถยนต์อีโคคาร์



Mitsubishi Motor มีแผนการส่งออก Mitsubishi Mirage จากโรงงานแหลมฉบังแห่งที่ 3 ประเทศไทยไปยังตลาด
ยุโรปเพื่อมาแทนที่ Mitsubishi Colt ที่เคยผลิตในโรงงาน NedCar ประเทศเนเธอร์แลนด์ ถึงแม้ตัวรถ Mirage จะมีมิติ
ตัวถังเล็กกว่า Colt โดยรวมแต่ก็แลกกับความประหยัดน้ำมันและราคาที่ถูกลงทดแทน

ยอดขาย Mitsubishi Colt ในตลาดยุโรปประจำปี 2011 มีอัตรส่วนลดลง 14% หรือมียอดขาย 31,263 คันเท่านั้น และ
จะมาแทนที่โดย Mitsubishi Mirage ในยุโรปต้นปี 2013 ส่วนชื่อที่ใช้ในการทำตลาดยังไม่เปิดเผย

วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2555

ดัทสันกำลังจะกลับมา



กลายเป็นข่าวฮือฮาตามหน้าหนังสือและเว็บไซต์เกี่ยวกับรถยนต์อยู่นานตลอดช่วงเดือนมีนาคม ในที่สุดนิสสันก็ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า พวกเขาจะปัดฝุ่นนำชื่อ ‘ดัทสัน’ ที่หายหน้าไปจากตลาดนานร่วม 30 ปีกลับมาขายอีกครั้งอย่างแน่นอน

       อย่างไรก็ตาม ตรงนี้มีการใส่หมายเหตุต่อท้ายเอาไว้อีกหน่อย ว่าเฉพาะตลาดรถยนต์เกิดใหม่อย่างรัสเซีย, อินเดีย และอินโดนีเซียเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับประเทศอื่นๆ แต่อย่างใด

       คริสโตเฟอร์ เคฟเฟ โฆษกของนิสสัน มอเตอร์ กล่าวว่า การเข้ามาของดัทสันจะมีส่วนช่วยนิสสันอย่างมากในการเพิ่มยอดขายในตลาดรถยนต์เหล่านี้ โดยคาดว่าภายในเดือนมีนาคม 2014 นิสสันจะเริ่มผลิตรถยนต์ภายใต้แบรนด์ดัทสันออกวางขายตามตลาดเหล่านี้ และมีแผนการว่าตลอด 3 ปีนับจากที่เปิดตัวจะมีการเปิดตัวรถยนต์ใหม่เป็นประจำทุกปี ปีละ 2 รุ่นเลยทีเดียว

       การกลับมาของดัทสันจะช่วยให้นิสสันมีแบรนด์รถยนต์ทำตลาดครอบคลุมในทุกระดับลูกค้า โดยในกลุ่มไฮเอนด์จะเป็นหน้าที่ของอินฟินิตี้ ส่วนตลาดรถยนต์ทั่วไปจะเป็นงานของนิสสัน และในตลาดราคาประหยัดจะเป็นหน้าที่ของดัทสัน

       ดัทสันเป็นแบรนด์รถยนต์ดั้งเดิมของนิสสัน โดยอยู่คู่และทำตลาดมาตั้งแต่ปี 1933 ซึ่งเป็นการนำตัวอักษรแรกในชื่อภาษาอังกฤษของผู้ก่อตั้ง คือ : Den, Aoyama และ Takeuchi มาวางเรียงกัน และต่อด้วยคำว่า Son โดยให้เหตุผลว่ารถยนต์รุ่นแรกที่ผลิตออกมาในปี 1931 มีชื่อเรียกว่า Son of DAT แต่ก็เปลี่ยนมาเป็น Sun ด้วยเหตุผลในแง่ลัทธิชาตินิยมและความเชื่อ เพราะ Sun คือพระอาทิตย์ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับชาวญี่ปุ่น ขณะที่อีกกระแสบอกว่าที่เปลี่ยนจาก Son มาเป็น Sun ก็เพราะคำแปลของคำว่า Sun พ้องเสียงกับคำว่า “เสียทรัพย์” ในภาษาญี่ปุ่น ก็เลยจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่

       อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เมื่อการทำตลาดเดินทางมาถึงวันที่ 31 มีนาคม นิสสันเริ่มยกเลิกการทำตลาดของแบรนด์ดัทสันในปี 1981 ซึ่งนักวิเคราะห์หลายรายต่างให้ความเห็นว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดอย่างยิ่ง และถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นิสสันต้องตกอยู่ในสภาพลำบากตลอดช่วงทศวรรษที่ 1980 และ 1990

       นั่นเป็นเพราะแบรนด์ดัทสันได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดทั่วโลก โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ 1960 และ 1970 โดยถือเป็นแบรนด์รถยนต์และกระบะราคาประหยัด แถมยังประหยัดน้ำมันอีกด้วย โดยวิกฤตการณ์น้ำมันในช่วงปี 1973 ถือเป็นจุดแจ้งเกิดของดัทสันในตลาดสหรัฐอเมริกาได้เป็นอย่างดีด้วยคุณสมบัติเด่นข้างต้น และทำให้ดัทสันกลายเป็นแบรนด์รถยนต์จากญี่ปุ่นที่มียอดขายสูงสุดในสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 2 รองจากโตโยต้าเท่านั้นเอง

       สำหรับเหตุผลในการยุบแบรนด์ดัทสันออกจากตลาดนั้น เป็นเพราะนิสสันต้องการยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์นิสสันและต้องการสร้างเอกภาพไม่ให้มีการใช้แบรนด์อื่นๆ อีก ผลก็คือ ดัทสันจำต้องเลิกใช้ในการทำตลาด และผลที่ตามมาคือ นิสสันไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร และมีส่วนผลักดันให้นิสสันไปยืนอยู่บนปากเหว

       มีการประเมินว่าค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนิสสันในระหว่างช่วงของการใช้ชื่อนิสสันทำตลาดอยู่ราวๆ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนั่นยังไม่รวมถึงความเสียหายทางด้านภาพลักษณ์ การตลาด และการจัดจำหน่าย ทำให้ยอดขายของนิสสันในช่วงนั้นหล่นไปอยู่อันดับ 3 ตามหลังโตโยต้า และฮอนด้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นิสสันเป็นเบอร์ 2 ในด้านยอดขายรถยนต์รุ่นอื่นๆ และทำให้ในช่วงนั้นฮอนด้าหยิบชิ้นปลามันไปครอง จนกลายเป็นเบอร์ 2 ของตลาดนับจากนั้นเป็นต้นมา

       แน่นอนว่าการปัดฝุ่นนำชื่อดัทสันกลับมาใช้นั้นเป็นเพราะนิสสันไม่ต้องการลดเกรดภาพลักษณ์ของตัวเอง ดังนั้น หน้าที่ของดัทสันก็คือการเจาะตลาดรถยนต์กลุ่มเกิดใหม่

       “นี่คือกลยุทธ์ที่นิสสันคิดว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการไม่ต้องดึงแบรนด์อินฟินิตี้ลงมาจากข้างบน เช่นเดียวกับแบรนด์นิสสันก็ไม่จำเป็นจะต้องลงข้างล่างเพื่อแข่งขันกับรถยนต์ในระดับเดียวกัน เพื่อให้เกิดความมัวมองทางด้านภาพลักษณ์” นักวิเคราะห์รายหนึ่ง กล่าวให้ความเห็น

       ก็ต้องดูกันต่อไปว่าสุดท้ายแล้ว ดัทสันจะเป็นอัศวินขี่ม้าข่าวมาช่วยเพิ่มยอดขายให้กับนิสสันได้มากน้อยแค่ไหน 




จะรอ 120Y

ฮอนด้าเผยโฉมรถยนต์สำหรับคนรักสุนัขโดยเฉพาะ

ปกติ ชอบ คอร์กี้ เป็นทุนเดิม



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก world.honda.com

ค่ายฮอนด้าเชื่อว่า เพื่อน 4 ขาควรจะได้ร่วมเดินทางอย่างสะดวกสบายไปกับเราด้วย ดังนั้น ทางฮอนด้า จึงคิดค้นช่องเก็บสุนัขขึ้น ในรถยนต์ของฮอนด้ารุ่น W.O.W ที่ย่อมาจาก Wonderful Open-hearted Wagon ซึ่งแนวคิดเกี่ยวกับช่องเก็บสุนัขนี้ ก็เพื่อที่จะให้คนขับและสุนัข ร่วมเดินทางไปด้วยกันอย่างสนุกสนาน โดยจะเป็นคุณสมบัติพิเศษที่ทำการดัดแปลงที่นั่งในรถยนต์ ให้กลายเป็นช่องเล็ก ๆ ที่สามารถเก็บสุนัขเอาไว้ได้อย่างปลอดภัย และมีช่องลมเพื่อที่น้องตูบจะไม่ได้รู้สึกอึดอัด พื้นต่ำที่เหมาะกับห้องโดยสาร ทำให้รถยนต์ไม่อึดอัดมากจนเกินไปสำหรับเจ้าของและสุนัข

          นอกจากนี้ เพื่อให้เหมาะกับสุนัขแสนรัก ฮอนด้ายังประดับตกแต่งภายในห้องโดยสารด้วยไม้ เพื่อสร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมให้เจ้าตูบรู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งเอกลักษณ์อันโดดเด่นของการตกแต่งภายใน จะเป็นการประดับด้วยไม้และวัสดุอื่น ๆ ที่มีความหรูหราผสมผสานกัน รวมทั้งยังมีฝาเปิดด้านหน้าสำหรับสุนัขตัวเล็กอีกด้วย โดยมีช่องระบายลมขนาดพอเหมาะ และตำแหน่งอยู่ตรงกันกับคนขับ ทำให้คุณสามารถดูแลสุนัขของคุณระหว่างที่ขับรถไปด้วยกัน

  มาตรฐานโดยทั่วไปสำหรับห้องโดยสารของรถยนต์รุ่น W.O.W นี้  ภายในจะประกอบไปด้วยที่นั่ง 4 ที่ แต่สามารถปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นรถยนต์ 6 ที่นั่ง เมื่อเลื่อนเบาะหลังไปด้านหลัง แล้วดึงเบาะพิเศษที่ซ่อนอยู่ตรงพื้นรถขึ้นมา นอกจากนี้ เบาะหลังหรือเบาะพิเศษดังกล่าว ยังสามารถดัดเเปลงเป็นช่องสำหรับใส่สุนัข หรือถอดออกเพื่อสร้างพื้นที่สำหรับสุนัขตัวใหญ่ได้อีกด้วย

          นอกเหนือจากคุณสมบัติที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว  ประตูที่เปิดได้กว้างยังช่วยสร้างความสะดวกสบายให้กับทุกคน ตั้งเเต่เด็ก ผู้สูงอายุ และสุนัข ประตูสไลด์สามารถเปิดได้จากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง อีกทั้งยังมีช่องตรงกลางเพื่อให้เจ้าตูบเดินออกไปได้อย่างสะดวก

         เห็นแบบนี้แล้วต้องบอกว่า ถูกใจคนรักสุนัขจริง ๆ เลย