วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ 1 “อีโค คาร์คันใหญ่ ใครว่าเป็นไปไม่ได้?”


วันที่ 27 กันยายน 2011 เวลา 19.19 น.
“อยากเก็บเวลานี้ไว้จริงๆ เก็บเวลาที่แม้จะไม่มีจริง
เก็บอารมณ์ เก็บความรู้สึก ทุกสิ่ง ในส่วนลึกที่ไม่มีวันมีใครแย่งไปได้”
เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น และเมื่อผมกดรับสาย ก็ได้ยินประโยคสั้น ๆ จากเสียงปลายทางว่า
“ทีเซอร์ Almera ออกแล้วนะ ไปซื้อหนังสือพิมพ์ด่วน”
ทันทีที่ผมกดปุ่ม End Call บนหน้าจอโทรศัพท์ ผมก็รีบควบจักรยานเสือภูเขาคู่ใจออกจากบ้านทันที เพื่อหาซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับบ่าย ซึ่งการหาซื้อหนังสือพิมพ์ในช่วงหัวค่ำแบบนี้ ช่างยากเย็นยิ่งนัก ร้านค้าในละแวกใกล้เคียงไม่มีจำหน่ายเลย นอกจากหนังสือพิมพ์ฟุตบอล!!
แต่สุดท้ายผมก็ได้หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในร้านสะดวกซื้อชื่อดัง หลังจากขี่จักรยานไปกว่า 3 กิโล
เพื่อโฆษณานี้ โฆษณาเดียวเท่านั้น

“อีโค คาร์คันใหญ่ ใครว่าเป็นไปไม่ได้”
โดนครับ!!
ใครคิด wording นี้ขึ้นมา ผมขอชมเชยไว้ ณ ที่นี้
เพราะมันสื่อสารได้โดนใจผมที่สุด ตั้งแต่ผมดูแลเวบบอร์ดรถอีโค คาร์มาปีกว่า
เพราะคนไทยส่วนใหญ่ ยังมีความเข้าใจผิด ๆ กับรถอีโค คาร์อยู่มาก
สำหรับคนทั่วไป Eco Car คือ Economy Car หรือ รถประหยัด ราคาถูก คันเล็ก ๆ หาซื้อได้ง่าย และถ้ามองแง่ลบหน่อยก็คือ “รถกระป๋อง” คุณภาพก๊องแก๊ง
แต่ถ้ามองในแง่ลบสุด ๆ ก็คือ รถสำหรับ”คนจน” “คนไม่มีเงิน”
นี่คือ สิ่งที่ผมสัมผัสจากความคิดผิด ๆ ของคนไทยมาตลอด 1 ปีที่ผ่านมา
—————————-
แล้วรถ Eco Car คืออะไร?
รถ Eco Car ย่อมาจาก Ecology Car ครับ หรือรถอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
นั่นคือ จะต้องเป็นรถที่ช่วยลดมลพิษ และช่วยประหยัดน้ำมันให้ได้มาตรฐาน ที่จะทำร้ายและทำลายธรรมชาติให้น้อยที่สุด
โดยรัฐบาลไทยได้ตั้งชื่อเต็มของรถอีโค คาร์ว่า “รถประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล”โดยมีมาตรฐานหรือคุณสมบัติหลัก ๆ ดังนี้
1. มีอัตราการใช้น้ำมัน เชื้อเพลิงไม่เกิน 5 ลิตร/ 100 กิโลเมตร *
2. เป็นรถที่ได้มาตรฐานมลพิษปลอดภัยระดับยูโร 4 (Euro 4) **
3. เป็นรถที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เกิน 120 กรัม/ กิโลเมตร
4. เป็นรถที่มีมาตรฐานความปลอดภัย UNECE Reg.94. Rev.0, และ UNECE Reg.95. Rev.0***
5. เป็นรถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,300 cc สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และ 1,400 cc สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล
หมายเหตุ: 
*น้ำมัน 1 ลิตร วิ่งได้ระยะทาง 20 กิโลเมตร
**รถยนต์ในกลุ่มประเทศยุโรป มีเพียง 5% ที่ผ่านมาตรฐานระดับยูโร 4 นี้
***มาตรฐานความปลอดภัยของยุโรป เป็นมาตรฐานความปลอดภัยจากการชนด้านหน้าและด้านข้าง

เมื่อดูมาตรฐานทั้ง 5 ข้อแล้ว จะพบว่า ไม่มีข้อไหนบ่งบอกว่า “รถต้องเล็ก และราคาถูก”แม้แต่ข้อเดียว
ยกเว้นแค่สิทธิพิเศษทางภาษีสรรพสามิตเท่านั้น ที่คิดในอัตรา 17% แทนที่จะเป็น 25% เฉกเช่นรถทั่วไป
ซึ่งมันก็ไม่ได้ทำให้ราคารถมันถูกลงเท่าไหร่นะ
แถมยังดูว่า รถอีโค คาร์เป็นรถที่ดีกว่ารถที่วางจำหน่ายทั่วไปด้วยซ้ำ เพราะมีมาตรฐานที่ถือว่า “สูง” กว่าปกติ ซึ่งผมมองว่าการที่จะทำรถให้ได้มาตรฐานทั้ง 5 ข้อนี้ ล้วนต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีต้นทุนที่สูงกว่าอย่างแน่นอน
ดังนั้น รถจะใหญ่จะเล็กแค่ไหนก็ได้ จะราคาแพงหรือถูกแค่ไหนก็ได้ แต่ถ้าผ่านมาตรฐาน 5 ข้อแล้วละก็ เป็นรถ Eco Car ได้ทันที
———————
จะว่าไปแล้ว ผมเฝ้ารอคอยการมาของเจ้า Almera มานานพอสมควรแล้วละ
เพราะพอทราบมาก่อนหน้านี้พอสมควร ว่านิสสันกำลังซุ่มทำรถอีโคคาร์คันใหม่แบบ 4 ประตู ที่มีบอดี้ใหญ่ แต่ใส่เครื่องเล็ก
แต่ทางนิสสันคงตั้งใจ surprise ชาวไทย จึงปิดข่าวได้ดี ไม่มีหลุดรอดออกมาเลย
และที่สำคัญ ผมเองในฐานะประธานคลับผู้ใช้รถนิสสัน มาร์ช ซึ่งถือเป็นตัวแทนผู้ใช้รถอีโค คาร์ในเมืองไทย เคยได้รับการติดต่อพูดคุยจากคนในนิสสันทั้งระดับบริหารและปฏิบัติการอยู่หลายต่อหลายครั้ง ถึงความคิดเห็นต่อการปรับปรุง แก้ไข และพัฒนารถอีโค คาร์
ซึ่งทำให้ผมเห็นความทุ่มเท ตั้งใจทำงาน และการเอาใจใส่ลูกค้าของค่ายนิสสัน จึงทำให้ผมตื่นเต้นเป็นพิเศษ ว่าเจ้า Almera จะออกมาดีมากน้อยแค่ไหนนั่นเอง….

และจากรีวิว Nissan March VL CVT by Biere มันคุ้มค่าแค่ไหน…ที่เฝ้ารอ? ที่ผมเคยทำไว้นั้น ทำให้มีเสียงเรียกร้องจากเพื่อน ๆ ที่เคยอ่านและติดใจ อยากให้ผมได้ทำรีวิวเจ้า Nissan Almera ดู ซึ่งผมเองก็ยินดี ถ้ารีวิวของผมเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ

แต่ด้วยความที่ผมเพิ่งออก Nissan March มาได้แค่ปีเดียว จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องซื้อรถใหม่ในขณะนี้ (พิมพ์ซะสวยหรู จริง ๆ ไม่มีเงิน 55555+) ผมจึงต้องตระเวนดูและทดลองขับ Nissan Almera ถึง 3 โชว์รูมเพื่อเก็บข้อมูลมาทำรีวิว

แต่ก็อย่างทีรู้ ๆ กัน ว่าการทดลองขับที่โชว์รูมจะเป็น รีวิวของผู้ใช้รถจริงไม่ได้ เพราะขับแค่แป๊ปเดียว ไม่มีโอกาสได้ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ดังนั้น ผมจึงต้องไหว้วานขอยืมรถ Nissan Almera จากผู้ที่ครอบครองมาทดลองใช้ ซึ่งก็เป็นข่าวดี ที่มีผู้ใจดีแต่ไม่ประสงค์จะออกนามให้ผมได้ยืมรถมาใช้ทดสอบในชีวิตประจำวัน
เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราไปสัมผัสกับเจ้า Almera กันเลยดีกว่าครับ

เรื่องรูปร่างหน้าตา ความสวยหรือไม่สวย คงแล้วแต่คนมอง แต่สิ่งที่ต้องรู้คือ เจ้า Almera นั้น ทาง Nissan ได้ออกแบบให้เป็นรถ Global หรือ รถที่ใช้รูปร่างเดียวกัน แต่สามารถขายได้ทั่วโลก เพียงแต่เปลี่ยนชื่อรุ่น เปลี่ยนเครื่องยนต์ เปลี่ยน option ไปตามความต้องการส่วนใหญ่ของคนในประเทศนั้น ๆ นั่นเอง

ดังนั้น ถ้าเพื่อน ๆ เห็น Nissan Versa Sedan รุ่นใหม่ที่อเมริกา หรือ Nissan Sunny ใหม่ที่ประเทศจีน ก็จะพบว่าเป็นตัวถังเดียวกับ Nissan Almera เด๊ะเลย

สำหรับผม เมื่อเห็นครั้งแรก รู้สึกได้เลยว่า “มัน ใหญ่ มาก” เพราะไม่คิดว่า รถมันจะใหญ่ได้ขนาดนี้


และเมื่อมองดูดี ๆ จะพบกลิ่นอายของรถรุ่นพี่ในค่าย อย่าง Nissan Teana อย่างชัดเจน จนอดไม่ได้ที่จะเรียกเจ้า Almera ว่า “เทียน่าน้อย” หรือ “Baby Teana”

ลองเปรียบเทียบกับ Teana J31 รุ่นก่อนปัจจุบัน

แล้วลองมาเปรียบเทียบกับ Teana J32 รุ่นปัจจุบัน

จะว่าไป ขนาดตัวถังของ Almera นี่ใกล้เคียงกับ Teana J32 มากเลยนะครับ ลองมาดูกันครับ
เริ่มจอดรถโดยให้ด้านหน้าเท่ากันก่อน

แล้วไปดูด้านหลัง โอ้ว ความยาวเกือบเท่ากันเลยนะครับ เล็กกว่านิดเดียวเอง

คราวนี้ลองถอยหลังให้เท่ากันดูบ้าง

จากนั้นมาดูความแตกต่างด้านหน้า

ใหญ่ใกล้เคียงกันแบบนี้ เราไปเปิดฝากระโปรงหลังดูกันดีกว่าครับ

ของพี่ใหญ่ Teana จุได้ 506 ลิตร สบาย ๆ

แต่หารู้ไม่ว่าน้อง Almera ก็จุได้ถึง 490 ลิตร ต่างกันนิดเดียว!!

ดังนั้น ถ้าคุณลืมจ่ายค่างวด หรือต้องการหลบหนีใครสักคนเหมือนผม ก็ทำได้สบาย ๆ ในอัลเมร่า
“เจ้าหนี้มายังหว่า?”

มาแล้ว ๆๆๆๆ หลบก่อนวุ้ย

เป็นไงครับ ความกว้างของห้องเก็บสัมภาระ ขนาดผู้ชายสูง 175 หนักกว่า 80 กิโลอย่างผมเข้าไปนอนก็ยังเหลือพื้นที่เหลืออยู่อีกพอสมควร เรียกว่า ดึงสาว ๆ เข้ามาหลบอีกคนเลยก็ยังได้ 5555
——————–
ทีนี้เรามาดูความกว้างภายในกันครับ โดยเริ่มที่จุดขายของรถเลย คือ เบาะหลัง ที่โชว์พื้นที่วางขา
ก่อนอื่น ผมเดินมาปรับเบาะนั่งด้านคนขับให้เข้ากับสรีระของผมในการขับขี่ปกติก่อน

จากนั้นก็เดินมานั่งที่เบาะหลังด้านคนขับ เพื่อดูความกว้าง

จะพบว่า มีที่วางขาเหลือเฟือมาก ๆ ครับ นั่นทำให้ผมนั่งไขว้ขาได้อย่างสบาย ๆ

ซึ่งครั้งแรกที่ผมได้นั่งเบาะหลังนั้น จะพบว่า Head Room หรือเพดานของรถค่อนข้างต่ำ อันด้วยการออกแบบที่โค้งลงของตัวรถ ซึ่งถ้าผมนั่งหลังตรง ทำผมตั้ง เส้นผมจะแตะที่เพดานพอดี

แต่โดยปกติ คนเราไม่ได้นั่งหลังตึงกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะผม เมื่อผมลองนั่งในแบบสบาย ๆ คือ หย่อนตัวลงเล็กน้อย ปัญหา Head Room หรือ เพดานของรถ ก็หมดไป

เพื่อน ๆ บางคนอาจจะสงสัยว่า แล้วเวลา ขึ้นเนิน หรือคอสะพาน จะไม่เด้งตัวเอาหัวไปกระแทกเพดานหรอกหรือ? ก็บอกได้เลยว่า ทดสอบเรียบร้อยแล้ว ช่วงล่างของอัลเมร่าดีพอ ที่จะไม่ทำให้ตัวคุณกระโดดดึ๋ง ๆ ไปถึงเพดานหรอกครับ
ได้เห็น Almera กันไปแล้ว มาลองเทียบกับ Teana ดูบ้างครับ โดยผมก็ใช้เทคนิคเดียวกัน คือ ไปปรับเบาะหน้าให้เข้ากับสรีระของผมก่อน จากนั้นก็เดินไปนั่งที่เบาะหลังฝั่งคนขับ

โว้ว แคบกว่าอย่างเห็นได้ชัดครับ ผมยอมรับว่า ถ้าไม่นับเบาะหนังแท้ที่แสนจะสบายดุจโซฟาเคลื่อนที่แล้วละก็ Teana ให้ความรู้สึกที่”อึดอัด”กว่า Almera ยังไงไม่รู้

ซึ่งตรงนี้ ผมถือว่าเป็นความคุ้มค่าของอัลเมร่าจริง ๆ ครับ แน่นอน ความหรูหรา และความสบายคงเทียบกับรุ่นพี่ไม่ได้ แต่ความกว้างภายในของรถซีดานราคาครึ่งล้านกับล้านครึ่งแทบจะไม่แตกต่างกันเลยครับ

จาก Teana ลองจับ Almera มาเทียบกับ Camry Hybrid ดูครับ

ซึ่งผมไม่ได้เทียบจริงจังอะไรหรอกนะครับ เพราะรถคนละประเภทกัน แต่ด้วยความบังเอิญที่ทั้งคู่มาจอดอยู่ด้วยกันก็เลยเก็บภาพมาฝาก ว่าขนาดบอดี้มันใกล้เคียงกันเลยนะ


เป็นยังไงบ้างครับ กับอีโค คาร์คันใหญ่ ที่ใคร ๆ ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่นิสสันได้ทำให้ “เป็นไปแล้ว”

สำหรับตอนที่ 2 เราจะมาดูกันครับว่า Almera แต่ละรุ่น แตกต่างกันยังไง? แล้ว S E ES V VL รุ่นไหนมีดีอะไร?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น