วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

100 อันดับโรงเรียน ที่เก่งที่สุด ในประเทศไทย !!!

100 อันดับโรงเรียน ที่เก่งที่สุด ในประเทศไทย
100 อันดับโรงเรียนที่ดีที่สุดในประเทศไทยปี 2554
ผลการจัด อันดับโรงเรียนที่เก่งที่สุดในประเทศไทย ประจำปี 2553
โดยพิจารณาจาก โอลิมปิกวิชาการ O-net โควตา รับตรง admission แพทย์ กสพท
ทุนรัฐบาล ทุน กพ ทุน พสวท. และ รางวัลชนะเลิศทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี

1. โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย 
2. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ 
3. โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
4. โรงเรียนบดิทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
5. โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จ.ลำปาง
6. โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย จ.สงขลา
7. โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย
8. โรงเรียนสตรีวิทยา
9. โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
10.โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
11.โรงเรียน อุดรพิทยานุกูล จ.อุดรธานี 
12.โรงเรียนอัสสัมชัญ
13.โรงเรียนสาธิต มศว.ปทุมวัน 
14.โรงเรียน สาธิต ม.เชียงใหม่ 
15. โรงเรียน สาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
16. โรงเรียน เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ
17.โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่ 
18. โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช จ.อุบลราชธานี
19.โรงเรียน เทพศิรินทร์
20.โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
21.โรงเรียน เบญจมราชูทิศ จ.นครศรีธรรมราช
22.โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จ.เชียงราย
23.โรงเรียนนครสรรค์ 
24.โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
25.โรงเรียนสตรี วิทยา 2
26.โรงเรียน สาธิต ม.ขอนแก่น
27.โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จ.ตรัง 
28.โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน จ.ขอนแก่น 
29. โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
30. โรงเรียนพรหมานุสรณ์ จ.เพชรบุรี
31.โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว 
32.โรงเรียน สุราษฎร์ธานี
33. โรงเรียนพิริยาลัย จ.แพร่
34.โรงเรียน ภูเก็ตวิทยาลัย 
35.โรงเรียน โยธินบูรณะ
36.โรงเรียน สาธิต ม.สงขลานครินทร์ จ.ปัตตานี 
37.โรงเรียนคณะราษฎรบำรุง จ.ยะลา 
38.โรงเรียนสวนกุหลาบ วิทยาลัย จ.นนทบุรี 
39.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.ราชบุรี 
40.โรงเรียนหอวัง
41.โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จ.ขอนแก่น 
42.โรงเรียนอัสสัมชัญสมุทรปราการ
43. โรงเรียนจักรคำคณาทร จ.ลำพูน
44.โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา
45. โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์
46.โรง เรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา 
47. โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี จ.พิษณุโลก
48.โรงเรียน ศึกษานารี 
49. โรงเรียนพิษณุโลกวิทยาคม
50.โรงเรียนสาธิต มศว.ประสานมิตร
51. โรงเรียน บุรีรัมย์พิทยาคม จ.บุรีรัมย์
52.โรงเรียนร้อยเอ็ด วิทยาลัย จ.ร้อยเอ็ด 
53.โรงเรียนนารีรัตน์ จ.แพร่ 
54.โรงเรียนสิรินธร จ.สุรินทร์ 
55.โรงเรียนมหาวชิราวุธ จ.สงขลา 
56. โรงเรียนสตรีศรีน่าน จ.น่าน
57.โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จ.สตูล
58.โรงเรียน บดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี 2 )
59.โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย 
60.โรงเรียน ชลราษฎร์อำรุง
61. โรงเรียน เซนต์โยแซฟคอนแวนต์
62.โรงเรียน สระบุรีวิทยาคม 
63.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า
64.โรงเรียน ระยองวิทยาคม 
65. โรงเรียนดาราวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
66.โรงเรียน พัทลุง 
67. โรงเรียนทวีธาภิเศก
68.โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย จ.ลพบุรี 
69.โรงเรียนบูรณะรำลึก จ.ตรัง 
70. โรงเรียนลำปางกัลยาณี จ.ลำปาง
71.โรงเรียน กำแพงเพชรพิทยาคม 
72. โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย นครปฐม 
73.โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎนครปฐม 
74.โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จ.มุกดาหาร 
75.โรงเรียนมารีย์วิทยา จ.นครราชสีมา 
76.โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล 
77.โรงเรียนสารคามวิทยาคม จ.มหาสารคาม 
78. โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย
79.โรงเรียนเบญจมราชาลัย 
80.โรงเรียน สายน้ำผึ้ง
81.โรงเรียน พัทลุง 
82.โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช จ.นครศรีรรมราช 
83.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.จันทบุรี 
84.โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม
85.โรงเรียนชลกันยานุกูล
86.โรงเรียน เบญจมราชรังสฤษฎิ์
87.โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎพระนครศรีอยุธยา 
88.โรงเรียน เบญจมเทพอุทิศ จ.เพชรบุรี 
89.โรงเรียน วิสุทธังษี จ.กาญจนบุรี 
90.โรงเรียน นวมินทราชูทิศ หอวัง นนทบุรี
91.โรงเรียนสุรวิทยาคาร จ.สุรินทร์  
92.โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จ.อุดรธานี 
93.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช 
94.โรงเรียนศรียาภัย จ.ชุมพร 
95.โรงเรียนสาธิต(พิบูลบำเพ็ญ) ม.บูรพา 
96.โรงเรียนสตรีสมุทรปราการ 
97.โรง เรียนอัสสัมชัญธนบุรี
98.โรงเรียนวัดสุทธิวราราม 
99.โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต 
100.โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

Review จากผู้ใช้จริง Hyundai H-1 Deluxe

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=nirutbpp&month=30-01-2012&group=1&gblog=1


REVIEW HYUNDAI H-1 DELUXE 


หลังจากได้ครอบครอง รถคันนี้มาเป็นเวลา สองปีกว่าๆ ตั้งแต่ใช้มามีความสุขมาก ไปไหนก็ไปกันยกบ้านทั้งครอบครัว ใหม่ๆก็ไม่ค่อยได้สนใจรถรุ่นนี้สักเท่าไหร่ใจมันไปรัก โฟล์คคาราเวล แต่พอได้ไปเดินห้างหนึ่งเจอกำลังนำเอามาออกบู้ชพอดีก็มีโอกาสได้เข้าไปดูแล้วก็สนใจมากทีเดียวก็รองไปลูบๆคลำๆ ไปรองนั่งดูถามโปรต่างๆ กลับมาถึงบ้านก็หาข้อมูลในเน็ตนี้แหละก็ได้ข้อมูลต่างๆ ทั้งทางที่ดีและเสีย ทั้งจากคนใช้จริงบ้าง ฟังเขามาบ้าง ก็หาข้อมูลจนได้จากผู้ใช้จริง จากเว็บ http://clubhyundai-h-1.pantown.com/ จึงตัดสินใจว่าโอเครุ่นนี้ละกัน เพราะที่มองโฟล์คไว้นั้นเป็นมือสอง ตัวV6 อายุก็ 7-8 ปีแล้ว ก็เลยเอาตัวนี้ดีกว่าได้รถใหม่ก็คงไม่น่ามีปัญหา สุดท้ายก็จองไป หลังจากได้รถมาก็ประทับใจมากเพราะกำลังได้ลองขับตอนนี้เลย อัตราเร่ง การออกตัวต่างๆ และที่สำคัญเครื่อง 2500 ขับหลัง บำรุงรักษาคงไม่จุกจิกเหมือนขับหน้า หลังจากขับกลับจาโชว์รูม เหลือดูรอบ ปรากฎว่ารอบ ต่ำมากๆ ขับที่ความเร็วเฉลี่ย 120 รอบขึ้นมาไม่ถึง 2000 รอบ มันเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก กับตัวรถที่ใหญ่ขนาดนั้นและไม่อืดพุ่งจี๊ดๆ ดีทีเดียว หลังจากขับมาก็วัดเฉลี่ยอัตราการกินน้ำมันขับที่ 110-120 กิโล/ชั่วโมง ได้เฉลี่ย 12 กิโลลิตร ถือว่ารับได้เลยทีเดียวเพราะตัวก่อนที่ใช้คือ จี-วากอน 2800 ไม่มีเทอร์โบกินประมาณ 9 กิโล/ลิตร และนั่งได้ยังไม่เท่าแอร์หลังก็ไม่เย็น แต่ตั้งแต่ได้คันนี้มาสมาชิกทุกคนมีความสุข ไม่ต้องแย่งแอร์กันเหมือนเคย แต่เปลี่ยนมาแย่งผ้าห่มกัน เพราะแอร์คันนี้มันหนาวจริงๆ ส่วนปัญหาที่เจอยังไม่มีอะไรที่เจอก็แค่ใช้เช็คตามระยะ ไม่มีปัญหาให้กวนใจถือว่าเป็นรถครอบครัวที่ใช้ได้เลยทีเดียวครับ ใครที่สนใจก็ลองไปสัมผัสตัวรถก่อนได้ค่อยๆตัดสินใจไปครับ 
 

FIAT 500 new model

FIAT 500
สัญลักษณ์แห่งยานยนต์สายพันธ์อิตาเลียน
800
Wednesday, 31 March, 2010 3:42 PM
 
7
 
bullet aFiat 500 แบบ 3 ประตูโฉมใหม่ รูปทรงกะทัดรัด ความยาวเพียง 355 เซนติเมตร ความกว้าง 163 เซนติเมตร ความสูง 149 เซนติเมตร และฐานล้อกว้าง 230 เซนติเมตร ถือเป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่ดูสวยงามอย่างถึงที่สุด เหมาะกับการใช้งานท่ามกลางการจราจรที่ติดขัด แต่ก็สามารถขับแบบสนุกๆ ในวันหยุดสบายๆ ในแบบชีวิตไม่เร่งร้อนได้ด้วย

bullet aส่วนหน้าของตัวถังลาดเอียงเล็กน้อย ส่วนด้านหลังจะมีรูปทรงที่ดูใหญ่กว่า มือจับโครเมี่ยมชวนให้นึกถึง เฟียต 500 รุ่นแรก มาพร้อมด้วยเฉดสีถึง 12 สี (สีเมทาลิก สีธรรมดาและสีมุก) และยังตกแต่งวัสดุภายในได้หลากสไตล์ด้วยผ้าและหนัง

bullet aภายในตกแต่งอย่างหรูหราด้วยความตั้งใจอย่างเต็มเปี่ยม เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีในการขับขี่ อาทิ เครื่องพ่นน้ำหอมแบบใหม่ ที่มีให้เลือก 3 กลิ่น นอกจากนั้นยังมีที่สำหรับแขวนเสื้อแจ๊คเกต ที่วางโทรศัพท์มือถือ หรือ iPod ยูเอสบี และที่ชารจ์ไฟ 12 โวลต์ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีที่ว่างสำหรับใส่ของ เช่น ที่สำหรับใส่กระเป๋าเดินทางอยู่ตรงประตูหลัง เหมาะสำหรับใส่กระเป๋าเดินทางเกือบทุกขนาด
 
8
 
9
 
10
 
bullet aFiat 500 เป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ปลอดภัยมากที่สุด ในบรรดารถยนต์ในรุ่นเดียวกัน และได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ผ่านมาตรฐานการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่ง ระบบเบรกที่มีประสิทธิภาพ รวมเข้ากับอัตราเร่งของเครื่องยนต์ มีถุงลมนิรภัยมากถึง 7 จุด เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน (2 ลูกด้านหน้า - 2 ลูกด้านหลัง - 2 ลูกด้านข้างและอีก 1 ลูกสำหรับปกป้องหัวเข่า)
 
11
 
FIAT 500C
bullet aFiat 500C มาในแบบโมเดิร์นด้วยหลังคาไฟฟ้า soft top ออกแบบรูปทรงมาอย่างบรรจง เพื่อหลังคาแบบเปิดประทุนเท่านั้น โดยมีให้เลือกสามสี คือ สีงาช้าง สีแดง และสีดำ นอกจากนี้ขอบหลังคายังทำหน้าที่เป็นสปอยเลอร์ และที่ติดตั้งของไฟเบรกดวงที่สาม ใช้งานได้ง่าย

bullet aเมื่อต้องการเปิด... กดปุ่มค้างครึ่งวินาที หลังคาจะเคลื่อนที่ต่อเนื่องอัตโนมัติไปจนถึงสปอยเลอร์ (จุดกลางทาง สามารถเลือกได้โดยการกดปุ่มอีกครั้งหนึ่ง) และเมื่อกดปุ่มอีกครั้งหนึ่ง หลังคาจะเปิดอย่างเต็มที่

bullet aหากใช้รีโมทคอนโทรล หลังคาจะเปิดได้ในระยะที่เท่ากับสปอยเลอร์ ด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัย และหลังคาจะหยุด ในระยะห่างจากจุดที่เป็นการปิดอย่างสมบูรณ์ประมาณ 25 เซนติเมตร เมื่อฝากระโปรงหลังเปิด หลังคาจึงจะสามารถปิดได้ (นั่นคือฟังก์ชั่นการเปิดหยุดทำงาน)

bullet aอย่างไรก็ตาม ถ้าหลังคาเปิดอย่างเต็มที่และจำเป็นต้องเปิดกระโปรงหลัง เมื่อกระโปรงหลังถูกเปิด หลังคาผ้าใบจะเลื่อนมาอยู่ตรงกลางโดยอัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการกีดขวางการขนถ่ายสัมภาระ
 
4
 
5
 
6
 
bullet aFiat 500C ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร 100 แรงม้า 16 วาล์ว ที่ 6,000 รอบต่อนาที และมีแรงบิดสูงสุดที่ 131 Nm (13.4 kgm) ที่ 4,250 รอบต่อนาที มาพร้อมกับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และได้มาตรฐานของ ยูโร 5 อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง 11 วินาที อัตราสิ้นเปลือง 6.1 ลิตร/100 กิโลเมตร
bullet aด้านความปลอดภัย Fiat ติดตั้งระบบเบรก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบควบคุมการทรงตัว ESP ระบบป้องกันล้อลื่นไถล ASR และระบบ ฮิลโฮลเดอร์ (Hill Holder) สำหรับขึ้น - ลงทางลาดชัน และระบบเสริมแรงเบรกแบบไฮโดรลิก HBA ช่วยในการจอดอย่างฉุกเฉิน
bullet aเข็มขัดนิรภัยด้านหน้ามีระบบดึงกลับอัตโนมัติแบบคู่ และตัวควบคุมแรงกระแทก ด้านหลังแบบสามจุด ที่นั่งเบาะหน้าและเบาะหลังมาพร้อมกับระบบ ป้องกันการลื่นไถล (anti-submarining) และยังมี Isofix สำหรับที่นั่งของเด็ก ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทั้งหมด
 
1
 
2
 
3
 
FIAT 500 By Diesel
bullet aFiat 500 รุ่น Limited Edition By Diesel สร้างสรรค์โดย Fiat ด้วยความร่วมมือจากแบรนด์แฟชั่นชั้นนำ โดดเด่นสะดุดตาด้วยสีตัวถังที่พิเศษสีเขียว Diesel Green และ สีดำ Crossover Black ด้านข้างและด้านหลังมีโลโก้ของ Diesel ล้ออัลลอยลายพิเศษขนาด 16 นิ้ว พร้อมยางขนาด 195/45R16 คาลิปเปอร์เบรกออกแบบพิเศษ สีเหลืองสะดุดตา กระจกหลังคาแบบติดตั้งถาวร กันชนหน้า - หลัง คิ้วฝากระโปรงท้าย คิ้วกันกระแทกด้านข้าง คิ้วขอบประตู มือเปิดประตู ฝาครอบกระจกมองข้าง เป็นสีไทเทเนียม
bullet aการตกแต่งภายใน กรอบคอนโซลหน้าสีไทเทเนียม เรือนไมล์สปอร์ตสีเหลือง พวงมาลัยหุ้มหนังแบบสปอร์ต เดินด้ายสีเหลือง เบาะนั่งพิเศษที่ทำจากผ้าเดนิมเนื้อดีของ Diesel เดินด้ายสีเหลือง ช่องเก็บของข้างเบาะดีไซน์รูปกระเป๋ากางเกงยีนส์ Diesel คิ้วบันไดแสตนเลสดีไซน์เฉพาะรุ่น Diesel
bullet aเบาะนั่งคนขับสามารถปรับความสูงได้ ระบบ Blue & Me และการควบคุมสภาพอากาศแบบปรับได้ ระบบความบันเทิงเหนือระดับ ด้วยเครื่องเสียงพร้อมระบบ Hi Fi Interscope Sound System
bullet aFiat 500 By Diesel Limited Edition มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินขนาด I.4 I6v I00 HP พร้อมระบบส่งกำลังขับเคลื่อนแบบดูอัลโลจิก

500 Sport ราคา 1,690,000 บาท
500 Sport Premuim ราคา 1,850,000 บาท
500 Lounge ราคา 1,690,000 บาท
500 Lounge Premuim ราคา 1,850,000 บาท
500 Limited by Diesel ราคา 1,980,000 บาท
500C Convertible ราคา 2,190,000 บาท

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

อีกมุมของ ปตท. ที่หลายคนอาจรู้ไม่ถึง

ขายปตท = ขายชาติ ประชาชน รากหญ้าได้อะไร ใครได้ประโยชน์

อีกไม่นานประเทศไทยคง ไม่เหลืออะไร ที่เป็นของประเทศของส่วนกลาง
การขายรัฐวิสาหกิจ เป็นช่องทางให้นายทุนได้เข้าครอบครอง ทรัพย์สินของประเทศ
แล้วชาวบ้านธรรมดา จะซื้อได้อย่างไรในเมื่อ มันเข้าไปซื้อไม่ได้  
ชาวบ้านและประชาชนได้อะไรจากการแปรรูปที่ผ่านมา ใครเป็นคนครอบครอง สิ่งที่แปรรูปไปแล้ว
กำไรมหาศาลเข้ากระเป๋าใคร

ยายมี ขายข้าวมันไก่ ยังคงต้องใช้แก๊ส ในการประกอบอาชีพ
นายมั่น วินมอเตอร์ไซต์ ยังต้องใช้น้ำมันเบ็นซิน ในการวิ่งรถ
นายยาก ยังคงทำงานเป็นกรรมกรรับจ้างรายวัน
นางดาว ยังคงเป็นแม่ค้าขายส้มตำ
นาย คง ยังคงวิ่งรถแท็กซี่
นายทองมี ยังคงเป็นพนักงานบริษัท รับเงินเดือนที่น้อยนิด
คนเหล่านี้หรือ ที่จะไปซื้อหุ้น รัฐวิสาหกิจได้
ในเมื่อรัฐบาลไม่สามารถปกป้อง ผลประโยชน์ของประเทศไว้ให้คนเหล่านี้ได้ แล้วใครล่ะจะมาช่วยเหลือประชาชน ชาวรากหญ้า  
ขายไฟฟ้า ค่าไฟขึ้นตามค่าเอฟที
ขายประปา ค่าน้ำก็แพง
ขายปตท น้ำมันแพง ขึ้นลงได้ตามใจ
มีอะไรอีกที่ขายได้ ...และเป็นกิจการที่มีกำไรมหาศาล
นายทุน ขอรับไว้หมด
และถ้าหาก กิจการเหล่านั้นเป็นของรัฐและ สร้างผลกำไรได้อยู่แล้ว จะขายให้ นายทุนทำไม 

มติชนรายวัน วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 10139

ที่เสนอมุมมองการเข้ามาถือครองหุ้น ของกองทุนต่างชาติใน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ว่าประเทศไทย คนไทย "ได้" หรือ "เสีย" ประโยชน์ จากนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจของรัฐบาล

ได้ยินโฆษณาของ ปตท.ที่ตั้งคำถามว่า "มีคนถามว่ากำไรของ ปตท.กลับคืนไปที่ใคร"

นึกในใจว่า ถามทำไม ก็รู้อยู่แล้วว่าใครเป็นเจ้าของ คนนั้นก็คือผู้ได้ประโยชน์จากผลกำไรที่เกิดขึ้น

ถ้าถามคำถาม ก่อนหน้า ปตท.เข้าซื้อ/ขายในตลาดหลักทรัพย์ คนไทยคงตอบได้ว่า "กำไรเป็นของพวกเราครับ"

ทำไม...รัฐบาลออกโฆษณาแบบนี้...เพื่ออะไร...ทำไมไม่พูดความจริง

นอกจากกระทรวงการคลังจะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่แล้ว ยังมีนักลงทุนจากต่างประเทศทั่วโลกเข้ามาถือหุ้นด้วย แต่ไม่มีโอกาสรู้ว่าใครได้รับประโยชน์(Beneficial) ที่แท้จริง เพราะนักลงทุนเหล่านี้มาในรูปแบบสถาบัน กองทุน และกองทุนส่วนตัว(Private fund) ที่ใช้ตัวแทน(Nominee) เข้ามาซื้อ.. ตรงนี้แหละอันตราย..!!

เพราะข่าวว่ามีเศรษฐีไทยฝากเงินในต่างประเทศในรูปแบบ Private Banking และขอสิทธิใช้กองทุนลักษณะนี้ ซื้อหุ้นราคาก่อนเข้าตลาด(IPO) กอบโกยกำไร

ที่น่าเจ็บใจคือ ฝ่ายรัฐยินยอมให้กองทุนลักษณะนี้ ได้สิทธิซื้อหุ้นจำนวนมากโดยจัดเป็น "นักลงทุนต่างชาติ"

พูดง่ายๆ ถ้าเป็นคนไทยใช้เงินบาทซื้อ ให้สิทธิซื้อไม่เกิน 5,000-10,000 หุ้น แต่ถ้าเงินคนไทยฝากไว้ในต่างประเทศ ลักษณะบัญชีส่วนตัว (Private Banking) ตั้งตัวแทน ใช้ชื่อกองทุนหรูๆ ผ่านสถาบันการเงิน ได้สิทธิซื้อเป็นล้านๆ หุ้น

มาดูข้อมูลกัน...

ก่อนนำ ปตท.เข้าตลาด กระทรวงการคลังเป็นเจ้าของ 100% วันที่ 10 เมษายน 2545 จำนวนหุ้นลดลงจาก 100% เหลือ 69.28% ขายหุ้นให้นักลงทุนทั้งไทยและเทศ ได้เงินเข้าคลังเพียง 30,000 ล้าน (ปัจจุบันราคาหุ้นสูงขึ้น 7 เท่า)

เท่านั้นไม่พอ...อยู่ดีๆ ก็ขายหุ้นเพิ่มอีก วันที่ 22 มีนาคม 2547 เหลือหุ้นเพียง 48.55% ขายหุ้นออกไปอีกถึงร้อยละ 17 ราคาหุ้นช่วงนั้น ประมาณ 150 บาทต่อหุ้น ได้เงินเข้าคลังมากหน่อย

ส่วนสำนักงานประกันสังคม ซื้อหุ้นไว้ร้อยละ 0.61 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2548 ถือหุ้นร้อยละ 0.90 แสดงว่าค่อยๆ เก็บสะสม

นี่คือ...ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ฝ่ายไทยช่วงแรก

ภายหลังมีเพิ่มอีก 2 กองทุน ที่มาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ฝ่ายไทย ได้แก่ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และกองทุนวายุภักษ์

กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ โผล่มาเมื่อ 8 เมษายน 2546 ซื้อไว้ 23,369,500 หุ้น ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2548 เหลือ 21,220,550 หุ้น ร้อยละ 0.76 ในระหว่างปีก็ซื้อๆ ขายๆ หากำไรไปเรื่อยๆ

ส่วนกองทุนรวมวายุภักษ์ ชื่อปรากฏเมื่อ 22 มีนาคม 2547 ว่าถือหุ้นร้อยละ 15.58 สอดคล้องกับเวลาที่กระทรวงการคลัง ลดสัดส่วนที่ถือไว้ แสดงว่ากระทรวงการคลัง ขายหุ้นให้กองทุนรวมวายุภักษ์

"ฝ่ายไทย" มีอยู่เท่านี้...ในส่วนต่างประเทศ จัดอันดับไว้ดังนี้

1.Morgan Stanley & Co., Int"l ร้อยละ 2.36

2.State Street Bank & Trust Company ร้อยละ 1.29

3.Chase Nominees Limited 1 ร้อยละ 0.94

4.HSBC(Singapore) Nominees Pte.Ltd. ร้อยละ 0.77

5.The Bank Of New York(Nominees Ltd) ร้อยละ 0.65

ทั้ง 5 นักลงทุนต่างชาติปรากฏชื่อในบัญชี เมื่อ 10 เมษายน 2545 แสดงว่าลงทุนตั้งแต่เริ่มต้น สังเกตให้ดี ชื่อแต่ละราย โดยเฉพาะรายที่ 3-5 จะมีคำว่า Nominees ตามท้าย เป็นลักษณะถือแทน ไม่ทราบถือแทนใคร

ถึงวันนี้มูลค่าการลงทุนของทั้ง 5 ราย จำนวน 168,327,769 หุ้น มีมูลค่าเพิ่มโดยเฉลี่ยหุ้นละ 200 บาท คิดคร่าวๆ ขายวันนี้ได้กำไร 30,000 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว

ถึงวันนี้ยังมีนักลงทุนต่างประเทศอีกหลายราย เป็นลักษณะตัวแทนเกือบทั้งหมด เข้ามาซื้อหุ้นจากนักลงทุนรายย่อย

มาดูชื่อกองทุนรายใหญ่ๆ ที่เข้ามาซื้อ...

1.Nortrust Nominees Ltd. ถือหุ้น 0.61% เมื่อ 8 เมษายน 2546 และเพิ่มเป็น 0.96% เมื่อ 20 กรกฎาคม 2548

2.HSBC Bank Pcl-Clients General A/C ถือร้อยละ 0.72% เมื่อ 22 มีนาคม 2547 และเพิ่มเป็น 0.75% เมื่อ 20 กรกฎาคม 2548(1% ประมาณ 30,000,000 หุ้น)

ยังมีรายชื่อกองทุนต่างชาติอีกมาก ที่อาจไม่นับเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่

ทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่ใช่เรื่องผิดปกติพิสดารตรงไหน ถ้า ปตท.เป็นเพียงบริษัทของเอกชนทั่วๆ ไป

ที่เจ็บใจและช้ำใจ เพราะ..

1.ปตท.ทำธุรกิจหลักคือ ก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน วัตถุดิบทั้งสองอย่างค้นพบบนแผ่นดินไทย คนไทยทุกคนเป็นเจ้าของ ได้มอบให้รัฐบาล(ปตท.) นำทรัพยากรไปหาผลประโยชน์ และนำกำไรเข้าคลัง รัฐบาลกลับนำ ปตท.เข้าตลาด ขายหุ้นให้ต่างชาติ หวังเพียงให้มูลค่าตลาดสูงขึ้น

2.รัฐบาลฉลาดน้อย จะขายหุ้นทั้งทีไม่รอจังหวะช่วงตลาดบูม ทำให้ได้เงินเข้าคลังน้อยนิด แต่นักลงทุนต่างชาติ ได้กำไรจากงานมหกรรม ปตท.เป็นหมื่นล้าน

3.ตั้งแต่นำหุ้นของ ปตท.เข้าตลาดจนถึงวันนี้ ปตท.เคยมีกำไรปี 2544 จำนวน 2,953 ล้านบาท ปี 2548 กำไรเพิ่ม 68,372 ล้านบาท

อย่าบอกนะว่า ถ้าไม่เข้าตลาดจะไม่มีกำไรขนาดนี้..?

รายได้หลักของ ปตท.คือ ธุรกิจผลิตภัณฑ์ก๊าซ ร้อยละ 28 และผลิตภัณฑ์น้ำมัน ร้อยละ 66 ถ้าดูกำไร ปตท.ว่าทำไมถึงมากมายขนาดนั้น (ปี 2547 กำไร 72,000 ล้านบาท) จะพบว่า ปตท.ได้กำไรจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติสูงถึงร้อยละ 92.0 ซึ่ง ปตท.ซื้อจากผู้ที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ ที่มีแหล่งขุดเจาะในอ่าวไทย ซื้อแล้วขายต่อให้ผู้ผลิตกระแสไฟฟ้า ทั้ง กฟผ.และภาคเอกชน บางส่วนนำไปแยกเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ

จะเข้าตลาดหุ้นหรือไม่ ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบก็เท่าเดิม สายส่ง (ท่อ) ที่วางอยู่บนดินและในทะเล มีเหมือนเดิม

ผู้บริหาร ปตท.ตั้งแต่ระดับบนจนถึงล่างก็เดิมๆ

"กำไร" ที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐบาลในการนำ ปตท.เข้าตลาดแต่อย่างไร..?

ทรัพย์สินถาวรของ ปตท.คือ ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบ เฉพาะในประเทศ เทียบเท่าน้ำมันดิบ 645 ล้านบาร์เรล

มูลค่าวันนี้บาร์เรลละ 60 เหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยเบ็ดเสร็จ 1.48 ล้านล้านบาท คนไทยเคยเป็นเจ้าของทั้งหมด



ที่เหลือก็ลองใช้พิจารณญาณ กันเอานะครับ ข้อมูลนี้ เอามาจากที่อื่นอีกที

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

จัดเต็ม รีวิวข้อมูลทางเทคนิค Mazda BT-50 2012 PRO โฉมใหม่ ทุกรุ่น พร้อมราคา

สารจากผู้จัดการโครงการ – ตลอดระยะเวลาสำหรับการทำงานในฐานะวิศวกรมาสด้ามากว่า 30 ปีจนถึงวันนี้ ผมได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการพัฒนารถกระบะ จึงทำให้ผมอาจจะได้รับข้อมูลและเสียงสะท้อนจากลูกค้ารถกระบะมากกว่าวิศวกรท่านอื่นๆ ในบริษัท การพัฒนารถกระบะของผมนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากความเชื่อว่ารถกระบะจะต้องสามารถตอบสนองการใช้งานได้เต็มร้อย ในทุกรูปแบบที่ลูกค้าทั่วโลกต้องการ และนั่นคือแนวทางที่ผมมุ่งมั่นในการพัฒนารถมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่



รถมาสด้า บีที-50 ในปัจจุบันเป็นรถที่มีรูปลักษณ์โดดเด่น ให้สมรรถนะการขับขี่และประโยชน์ใช้สอยมากมาย เป็นรถกระบะที่ยอดเยี่ยม ถึงกระนั้น ผมยังมุ่งมั่นที่จะสร้างรถมาสด้า บีที-50 รุ่นใหม่ ด้วยนิยามใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในรถกระบะ นั่นคือการสร้างรถกระบะที่มีบุคลิกภาพของรถยนต์นั่ง ทีมงานของผมได้นำเอานวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ รวมทั้งการออกแบบที่โดดเด่น และการเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานของรถขึ้นไปจนเทียบเท่ากับรถยนต์นั่งระดับสูงอย่าง CD Car เราพัฒนาเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังใหม่ทั้งหมด รวมถึงระบบบังคับเลี้ยว และโครงสร้างของรถเพื่อสร้างความเพลิดเพลินในการขับขี่ตามแบบฉบับ ซูม-ซูม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่นที่สุดของแบรนด์มาสด้า ตลอดระยะเวลาของการทำงานเรายึดมั่นในแนวคิด ซูม-ซูม แบบยั่งยืนของมาสด้า (Mazda’s Sustainable Zoom-Zoom) เพื่อให้แน่ใจถึงสมรรถนะที่ดีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เราได้นำระบบควบคุมการขับขี่แบบใหม่เข้ามาใช้เป็นครั้งแรก เพื่อให้สมรรถนะด้านความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม รวมถึงการเพิ่มความหลากหลายของตัวถัง เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง รวมถึงการแบ่งระดับของรุ่นต่างๆ ที่มีให้เลือกหลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากที่สุด

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ คือกลุ่มคนที่มีความกระฉับกระเฉงในการใช้ชีวิต ใช้รถกระบะทั้งในธุรกิจการทำงานและทำกิจกรรมร่วมกับสมาชิกครอบครัว เดินทางท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ เป็นกลุ่มคนที่เลือกใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานในแบบฉบับของตัวเอง พวกเขามองว่ารถที่ใช้บ่งบอกและสะท้อนภาพลักษณ์ของตัวเอง ให้ความสำคัญต่อการดีไซน์ รูปลักษณ์ที่โดดเด่น และคุณภาพของรถที่ให้ความไว้วางใจได้ หลงใหลในสมรรถนะการขับขี่แบบ ซูม-ซูม ที่แท้จริง โดยไม่ยอมประณีประนอมถึงแม้จะเป็นรถกระบะ หรือพูดได้สั้นว่า พวกเขาต้องการรถกระบะที่แตกต่าง และเหนือกว่ารถกระบะที่มีอยู่ในตลาด


การออกแบบ
ด้วยแนวความคิดที่ต้องการสร้างความแตกต่างไม่ต้องการอยู่ในกรอบและข้อจำกัดเดิมๆ ของรถกระบะ เราออก แบบมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ที่ให้ทั้งความเอนกประสงค์แบบรถกระบะ รูปลักษณ์การออกแบบ และความสะดวกสบาย วัสดุคุณภาพชั้นสูงเช่นเดียวกับรถยนต์นั่งเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อตอบสนองการใช้งานทั้งในการทำงานและการพักผ่อนใช้เวลาส่วนตัวกับสมาชิกในครอบครัว นั่นคือแก่นแท้ของการพัฒนารถมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่

รถมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ฉีกทุกการออกแบบรถกระบะด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ทีมนักออกแบบของมาสด้าใช้แนวคิดการออกแบบ Sophisticated Beast ที่แสดงออกถึงความสง่างามภูมิฐานของราชสีห์ สรีระที่สวยงามแต่ดูแข็งแรงมีพละกำลังและยังมีความปราดเปรียวคล่องแคล่ว ประหนึ่งว่าจะกระโจนเข้าตะครุบเหยื่ออย่างรวดเร็วโดยที่เหยื่อไม่ทันได้ตั้งตัว

ด้านหน้ารถออกแบบด้วยรูปทรงที่มีขนาดและมิติที่ใหญ่ดูมั่นคงแข็งแกร่งและบึกบึน โดยยึดแนวการออกแบบตามแบบฉบับรถในตระกูลมาสด้า โดยเฉพาะกระจังหน้าทรง 5 เหลี่ยม พิถีพิถันกับการออกแบบไฟหน้าแบบบูม เมอแรง (Boomerang Design) ในลักษณะเช่นเดียวกับรถยนต์นั่งมาสด้า

สำหรับการออกแบบด้านข้าง รถมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่แสดงถึงการปฏิวัติสถาปัตยกรรมในการออกแบบรถกระบะอย่างแท้จริง ความยาวของตัวรถยาวมากที่สุดเมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน จึงมีพื้นที่ให้สามารถใส่รายละเอียดในการออกแบบทั้งด้วยรูปทรงและพื้นผิวที่สวยงามกลมกลืนลงตัว ซุ้มล้อหน้าขนาดใหญ่ถือเป็นวิวัฒนาการของการออกแบบที่ใช้ในการออกแบบรถยนต์นั่งของมาสด้า ที่ทำให้ตัวถังดูใหญ่มีมิติที่สวยงาม การออกแบบด้วยรูปทรง พื้นผิวและเส้นสาย ที่สัมพันธ์กันและต่อเนื่องจากซุ้มล้อหน้าไล่ไปจนถึงด้านท้ายรถ ทำให้ดูแข็งแกร่ง คล่องแคล่วปราดเปรียว

การออกแบบด้านหลังรถ ถูกกำหนดโดยเส้นคอนทัวร์ไลน์แนวนอนขนาดใหญ่ทำให้เห็นแสงเงาของเส้นอย่างชัดเจน สอดรับกันอย่างกลมกลืนกับไฟท้ายดีไซน์ในแนวนอนที่บ่งบอกถึงความสปอร์ตแบบรถยนต์นั่งมาสด้า เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรถมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ที่ไม่เหมือนรถกระบะคันอื่นๆ ในตลาด สามารถบอกได้ว่าเป็นรถกระบะมาสด้าทันทีเมื่อได้เห็น ล้ออัลลอยด์ขนาด 16 และ 17 นิ้ว ออกแบบให้รับกับเส้นสายของตัวถังได้อย่างลงตัว สีภายนอกมีให้เลือกถึง 7 สี รวมถึง 2 สีใหม่ ได้แก่ สีฟ้า กันเมททัล บลู ไมก้า (Gunmetal Blue Mica), สีทอง สปาร์คกลิ้ง โกลด์ ไมก้า (Sparkling Gold Mica) ที่ช่วยแสดงออกถึงความสปอร์ตและความปราณีตในการออกแบบให้ปรากฏชัดเจนต่อสายตาและเข้ากับการใช้ชีวิตที่มีสีสันของลูกค้า



ภายในเน้นความรู้สึกสปอร์ตและการออกแบบเหมือนกับรถยนต์นั่ง พิถีพิถันใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อสร้างความพอใจกับคุณภาพระดับสูง การออกแบบเลย์เอาต์คอนโซลหน้าด้วยรูปทรงที่ไม่สมมาตรโดยเป็นมุมเปิดกว้างสำหรับส่วนของผู้โดยสารด้านหน้า และเป็นมุมแคบแบบโอบกระชับล้อมรอบในส่วนของผู้ขับขี่ จึงทำให้ห้องโดยสารด้านหน้ากว้างขวางและมีพื้นที่ใช้สอยที่สะดวกสบายเช่นเดียวกับรถยนต์นั่ง ในขณะที่ผู้ขับขี่สามารถเพลิดเพลินกับการขับขี่บนเบาะนั่งที่โอบกระชับแบบสปอร์ต การวางเลย์เอาท์ในส่วนผู้ขับขี่ที่โอบล้อมให้ผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลาง (Wraparound driving environment) ช่วยอำนวยความสะดวกในการขับขี่ได้สูงสุด ภายในเลือกใช้โทนสีดำเป็นสีหลัก ตัดกันด้วยชิ้นงานตกแต่งสีเงิน ประกอบไปด้วย ชิ้นงานตรงแผงประตู คอนโซลกลาง หัวเกียร์ ปุ่มกดที่เบรกมือ มือจับประตูด้านใน มาตรวัดความเร็ว เข็มบอกความเร็ว โดยทำจากหลากหลายชนิดของวัสดุ และเลือกใช้โทนสีเงินที่แตกต่างกันตามความเหมาะสมโดยขึ้นอยู่กับตำแหน่งของชิ้นงานนั้นๆ ชิ้นงานที่ผู้ใช้จะต้องสัมผัสจะเลือกใช้วัสดุที่ทำจากโครเมี่ยมที่ให้ผิวสัมผัสที่ปราณีต และดูหรูหราไม่แยงสายตา เบาะนั่งเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูงมีให้เลือกถึง 3 แบบ ประกอบด้วยเบาะผ้า 2 แบบขึ้นอยู่กับระดับของรุ่นรถ และเบาะหนังสำหรับรุ่นระดับบน

สีภายนอก
สีฟ้า กันเมททัล บลู ไมก้า Gunmetal Blue Mica (38L)
สีขาว คูล ไวท์ Cool White (A2W)
สีแดง คอปเปอร์ เรด ไมก้า Copper Red Mica (37M)
สีดำ แบลค ไมก้า Black Mica (16W)
สีเทา ไททาเนี่ยม เกรย์ Titanium Grey Metallic (30B)
สีทอง สปาร์คกลิ้ง โกลด์ ไมก้า Sparkling Gold Mica (34E)
สีเงิน ไฮไลต์ ซิลเวอร์ เมทัลลิค Highlight Silver Metallic (18G)



สมรรถนะการขับขี่
รถมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ คือรถที่ตอบสนองการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง ด้วยกำลังและการขับขี่แบบเดียวกับรถตรวจการหรือรถ SUV ที่สามารถให้การขับขี่และการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งในการทำงาน และไปกับสมาชิกในครอบครัว หรือเพื่อไปทำงานอดิเรกได้ตามความต้องการ และเหนือสิ่งอื่นใดคือความสะดวกสบายที่มีแบบรถยนต์นั่ง คุณค่าของรถมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ มีอยู่ 3 ประการ คือ ความสามารถในการขับขี่ การออกแบบ และความสะดวกสบายเช่นเดียวกับรถยนต์นั่ง

สมรรถนะแบบ ซูม-ซูม คือสิ่งที่ทำให้มาสด้าแตกต่างจากผู้ผลิตรถอื่นๆ รถมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ถูกพัฒนาด้วยเทคโนโลยีทางวิศวกรรมที่สามารถตอบสนองการขับขี่แบบ ซูม-ซูม ได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามไม่เพียงเท่านั้น เราสร้างรถมาสด้า บีที-50 โปร ด้วยคุณภาพและความมั่นใจ ให้ความเพลิดเพลินในการขับขี่มากยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยประสิทธิภาพที่เหนือกว่าคู่แข่งขัน

เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง
เริ่มต้นจากเครื่องยนต์ใหม่ประกอบด้วย เครื่องยนต์ดีเซล Di-THUNDER PRO 2.2 ลิตร และ Di-THUNDER PRO 3.2 ลิตร ที่มาพร้อมกับระบบส่งกำลัง เกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อทุกรุ่นมีฟังค์ชั่นสวิทช์ Shift on-the-fly ที่ใช้เปลี่ยนระบบขับเคลื่อนระหว่างการขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ อีกทั้งระบบเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป (Limited Slip Differential) ในรุ่น Hi-Racer 4×2 ยกสูง ที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรด

เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ Di-THUNDER PRO
เครื่องยนต์ดีเซล Di-THUNDER PRO 2.2 ลิตร คอมมอนเรล ไดเรคอินเจคชั่น 4 สูบ 16 วาล์ว มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ระดับกำลังกำลังสูง และระดับปานกลาง ซึ่งเครื่องยนต์ระดับกำลังสูง ให้กำลังสูงสุดถึง 150 แรงม้า (110kw) ที่ 3,700 รอบ แรงบิดสูงสุด 375 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,500 รอบ ให้กำลังมากกว่าเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ที่มีอยู่ในตลาด
เครื่องยนต์ดีเซล Di-THUNDER PRO 3.2 ลิตร ครั้งแรกของมาสด้ากับเครื่องยนต์ 5 สูบ ที่ให้ความจุกระบอกสูบขนาดใหญ่แต่มีขนาดกระทัดรัด ให้ประสิทธิภาพสูง และให้สมรรถนะที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับรถกระบะในท้องตลาด ด้วยกำลังถึง 200 แรงม้า (147kw) ที่ 3,000 รอบ และแรงบิดสูงสุดถึง 470 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบ อีกทั้งยังให้การประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยมและสมรรถนะด้าน NVH ที่ช่วยให้การขับขี่ในห้องโดยสารที่เงียบอย่างมีคุณภาพสูงสุด

ทั้งเครื่องยนต์ดีเซล Di-THUNDER PRO 2.2 และ 3.2 ลิตร เสื้อสูบทำจากเหล็กหล่อที่ออกแบบด้วยโครงสร้างเฟรมแบบขั้นบันไดเพื่อให้ความแข็งแรงมากขึ้น ฝาสูบทำจากอลูมิเนียม ลูกเบี้ยวขับเคลื่อนด้วยโซ่มีอายุการใช้งานยาวนาน ตัวปรับแลชแบบไฮโดรลิค เทคโนโลยีล่าสุดของระบบปั๊มคอมมอนเรลแรงดันสูงมากถึง 1,800 บาร์พร้อมกับหัวฉีดหลายจังหวะควบคุมด้วยความแม่นยำ เทอร์โบแปรผัน Variable-nozzle turbocharger สำหรับเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร และ 2.2 ลิตรระดับกำลังสูง โดยสำหรับเครื่องยนต์ 2.2 ลิตรระดับกำลังปานกลางจะมาพร้อมกับเทอร์โบแบบ Fixed-geometry turbocharger อินเตอร์คูลเลอร์ขนาดใหญ่ถูกนำมาใช้กับเทอร์โบในทุกๆ รุ่น รวมทั้งระบบการหมุนเวียนไอเสียไหลกลับที่มีประสิทธิภาพสูงช่วยลดอุณหภูมิการเผาไหม้และปริมาณการปล่อย NOX

เครื่องยนต์ดีเซล Di-THUNDER PRO 2.2 ลิตรระดับกำลังสูง และ Di-THUNDER PRO 3.2 ลิตร มาพร้อมกับเกียร์ธรรมดา 6 สปีด หรือเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด

ระบบส่งกำลัง
เกียร์ธรรมดา 6 สปีด ออกแบบให้คันเกียร์สั้นกระชับเพื่อให้การเปลี่ยนที่รวดเร็ว ซิงโครไนเซอร์เชื่อมแบบ Rigid ช่วยให้สามารถส่งถ่ายแรงบิดที่สูงได้ในขณะที่ยังให้การเปลี่ยนเกียร์ที่เบาง่ายและแม่นยำในการใช้งานนอกเหนือจากนั้นกลไกการเข้าเกียร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อระหว่างชุดหลักและชุดเกียร์ที่เลือกออกแบบให้ได้การเปลี่ยนเกียร์แบบสปอร์ตด้วยช่วงชักที่สั้นกระชับให้ความรู้สึกแบบรถยนต์นั่ง สัญญาณเตือนให้เปลี่ยนเกียร์ Upshift Indicator แสดงที่มาตรวัดรอบความเร็วเครื่องยนต์ ช่วยให้หลีกเลี่ยงการลากรอบเครื่องยนต์โดยไม่จำเป็นจึงช่วยให้ประหยัดน้ำมัน

เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ออกแบบให้อัตราทดเกียร์ในแต่ละเกียร์สัมพันธ์กันและสามารถครอบคลุมการส่งกำลังที่ดีตั้งแต่รอบเครื่องยนต์ต่ำ และช่วยลดมลพิษไอเสีย รวมทั้งให้การประหยัดน้ำมันที่ดี เกียร์อัตโนมัติมีกล่องควบคุมการทำงานโดยเฉพาะซึ่งช่วยควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่ความเร็วสูง โดยจะทำงานร่วมกับระบบควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ของการส่งถ่ายกำลัง ความแม่นยำและการตอบสนองต่อการสั่งการของผู้ขับขี่ ยิ่งไปกว่านั้นเทคโนโลยีล่าสุดในการควบคุมเกียร์ที่ใช้ในรถยนต์นั่งมาสด้า อาทิเช่น มาสด้า3 ได้ถูกนำมาใช้กับรถมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ประกอบด้วย Active Adaptive Shift Control (AAS) และ Sequential Shift Control (SSC) โดย AAS จะช่วยควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ให้สอดคล้องกับการขับขี่ของผู้ขับขี่ โดยระบบจะเรียนรู้จากพฤติกรรมการขับขี่ในแต่ละสถานการณ์การขับขี่ ในส่วนของ SSC ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ทั้งโหมดธรรมดา โหมดเพอร์ฟอร์มานซ์ และโหมดแมนนวลซึ่งผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้แบบเกียร์ธรรมดา

การบังคับควบคุม
รถมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ถูกออกแบบและพัฒนาให้ได้การขับขี่ที่นุ่มสบายเช่นรถยนต์นั่งและควบคุมได้ดังเช่นรถตรวจการหรือรถ SUV ระบบช่วงล่างด้านหน้าอิสระแบบปีกนกคู่ (Double-wishbone) และคอยด์สปริง ด้านหลังแบบคานแข็งและชุดแหนบ (Leaf-Spring) ที่ให้ความนุ่มสบายในการขับขี่ทั้งเมื่อบรรทุกและไม่บรรทุก อีกทั้งมีคุณสมบัติความแข็งแกร่งที่ช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการควบคุมรถ ระบบบังคับเลี้ยวแรคแอนพีเนียน (Rack-and-pinion Steering) ถูกนำใช้ใหม่เช่นเดียวกับในรถยนต์นั่ง ใช้การยึดด้วยโครงสร้างแบบ Rigid Mounting ที่ให้ความรู้สึกตอบสนองได้ดี อัตราทดพวงมาลัยที่รวดเร็วมากขึ้นและองศาการเลี้ยวที่เพิ่มมากขึ้นช่วยให้ความสามารถในการบังคับเลี้ยวเรียกได้ว่าดีที่สุดในรถระดับเดียวกัน ทั้งหมดนี้ทำให้ได้มาซึ่งการควบคุมที่ตอบสนอง แม่นยำ ตามแบบฉบับ ซูม-ซูม โครงสร้างแชสซีแบบขั้นบันไดถูกพัฒนาขึ้นใหม่ให้มีความแข็งแกร่งสูง การยึดตัวถังถูกออกแบบใหม่เพื่อช่วยลดการสั่นสะเทือนสู่ห้องโดยสาร

อื่นๆ
มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ทุกรุ่นใช้ดิสค์เบรกหน้า คาร์ลิบเปอร์แบบลูกสูบคู่ เส้นผ่าศูนย์กลางของดิสค์เบรกใหญ่ขึ้นมีขนาด 16 นิ้ว ให้สมรรถนะที่ดีขึ้น การเพิ่มความแข็งแกร่งของโครงสร้างแชสซีและตัวถัง ออกแบบการยึดเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังที่ช่วยลดการสั่นสะเทือน สามารถช่วยลดเสียงรบกวน NVH ได้อย่างมีประสิทธิภาพให้คุณภาพของห้องโดยสารที่เงียบเช่นเดียวกับรถยนต์นั่ง และสุดท้าย รถมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ไม่ใช่เฉพาะการออกแบบด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นเท่านั้น แต่ยังให้คุณสมบัติด้านอากาศพลศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพด้วยที่ผ่านทั้งการทดสอบในคอมพิวเตอร์จำลองและการทดสอบตัวรถจริง จึงช่วยให้เกิดเสถียรภาพในการขับขี่เมื่อใช้ความร็วสูง ช่วยประหยัดน้ำมันและช่วยลดเสียงรบกวนในห้องโดยสาร
ความสะดวกสบายและความเอนกประสงค์

มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ เป็นได้มากกว่ารถกระบะ ด้วยการสร้างรถรูปแบบใหม่ที่ผสมผสานการใช้งานที่สามารถตอบสนองทั้งในการทำงานและในช่วงเวลาพักผ่อน จึงเป็นความลงตัวระหว่างความสะดวกสบายของรถยนต์นั่งและการใช้งานอย่างเอนกประสงค์สมบุกสมบัน หรือเรียกได้ว่า มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างการใช้ชีวิตแบบครอบครัวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข



ด้วยแนวความคิดรถที่ตอบสนองการใช้ชีวิตในทุกรูปแบบ Active Lifestyle Vehicle รถมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ที่ให้ทั้งความสะดวกสบายและความเอนกประสงค์ ด้วยความหลากหลายของฟังค์ชั่นสำหรับทุกรูปแบบของการใช้งาน ตัวถังมี 2 แบบ คือแบบ 4 ประตู (Double Cab) 5 ที่นั่ง และแบบแค็ปเปิดได้ฟรีสไตล์แค็ป Freestyle Cab ที่ตอบสนองความต้องการทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ตัวถังทั้ง 2 แบบรถมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ มีความยาว ความกว้างและความสูงมากกว่ารุ่นปัจจุบัน จึงให้พื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขวาง สำหรับเพื่อนฝูงและสมาชิกในครอบครัว รวมทั้งพื้นที่ในการบรรทุกที่มากมาย การเข้า-ออกห้องโดยสารทำได้ง่ายและสะดวกกว่าในรุ่นปัจจุบันด้วยประตูขนาดใหญ่และมุมองศาที่เปิดได้กว้างมากยิ่งขึ้น

รุ่นฟรีสไตล์แค็ป หรือ รุ่นแค็ปเปิดได้ เอกลักษณ์เฉพาะของมาสด้าที่สามารถเข้า-ออกได้สะดวกง่ายดายรวมถึงการจัดเก็บหรือเคลื่อนย้ายสัมภาระ รุ่นดับเบิ้ลแค็ปขับเคลื่อน 4 ล้อ (Double Cab, 4WD), รุ่นฟรีสไตล์แค็ปขับเคลื่อน 4 ล้อ (Freestyle Cab, 4WD) และรุ่นขับเคลื่อน 2ล้อแบบยกสูง (2WD Hi-Racer) ติดตั้งบันไดข้างเพื่อความสะดวกและง่ายในการก้าวขึ้นและลงจากรถ

พื้นที่เหนือศรีษะในห้องโดยสารด้านหน้ามีมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับรถในระดับเดียวกัน พื้นที่ช่วงเหนือไหล่ขึ้นไปถือว่าอยู่ในระดับเดียวกันกับรถกระบะที่ดีที่สุดในตลาด และห้องโดยสารด้านหลังของรุ่นดับเบิ้ลแค็ปมีพื้นที่เหนือศรีษะและพื้นที่ช่วงขาที่ดีที่สุดดีกว่ารถกระบะอื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาด เบาะนั่งออกแบบใหม่เพื่อช่วยลดอาการเมื่อยล้าในการขับขี่และให้ความสบายในการเดินทาง อีกทั้งเบาะหน้าสามารถปรับระดับเพื่อความสะดวกสบายได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับระบบเครื่องเสียง มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ สามารถเล่นวิทยุ CD MP3 พร้อมช่องต่อ AUX และ USB จอแสดงฟังค์ชั่นเอนกประสงค์ Multi-Function Display ขนาด 3.5 นิ้ว แบบ Monochrome Super-Twisted Nematic (STN) หรือ แบบ Dot-Matrix สำหรับรุ่นระดับกลางเป็นต้นไป และแบบ 2-line Display สำหรับรุ่นเริ่มต้น จอแสดงผลวางอยู่ที่ตำแหน่งด้านบนสุดของคอนโซลกลางด้านหน้าเพื่อแสดงการสั่งการการทำงานของระบบเครื่องเสียง การควบคุมทำได้ง่ายด้วยแผงควบคุมที่มีปุ่มควบคุมแบบ Jog Pad อยู่ตรงกลางและล้อมรอบด้วยปุ่มฟังค์ชั่นการทำงานอื่นๆ ลำโพงขนาด 6 นิ้ว ประสิทธิภาพสูงติดตั้งไว้ที่แผงประตูถูกปรับแต่งให้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด

พื้นที่ช่องเก็บสัมภาระที่มีมากมายตลอดทั้งห้องโดยสาร ทำให้ผู้โดยสารทุกคนสามารถจัดเก็บของใช้ส่วนตัวได้มากมายและเป็นครั้งแรกกับการเพิ่มช่องเก็บสัมภาระด้านผู้ขับขี่ขึ้นมา (Driver’s Glove box) รวมทั้งช่องเก็บของเหนือศรีษะ ในส่วนช่องเก็บสัมภาระด้านผู้โดยสารด้านหน้าออกแบบให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น ช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่งในคอนโซลกลาง และช่องเก็บสัมภาระแบบ 2 ชั้นที่คอนโซลกลาง ที่แผงประตูหน้าสามารถวางขวดน้ำขนาด 1 ลิตรได้ สำหรับรุ่นดับเบิ้ลแค็ป 4 ประตู และรุ่นฟรีสไตล์แค็ปมีช่องเก็บสัมภาระใต้เบาะนั่งด้านหลัง

กระบะบรรทุกในรถมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ทุกรุ่นมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นปัจจุบันมากให้พื้นที่บรรทุกสัมภาระมากที่สุดเมื่อเทียบกับรถกระบะยี่ห้ออื่นๆ ในตลาด โครงสร้างเหล็กแบบสองชั้นให้ความทนทานสูง ภายในกระบะบรรทุก ผนังด้านข้างออกแบบให้เป็นร่องหลายชั้นเพื่อให้สะดวกสำหรับการติดตั้งอุปกรณ์เสริมที่จะกั้นหรือแยกพื้นที่เก็บของในกระบะบรรทุกเป็นส่วนๆ นอกเหนือจากความจุในการบรรทุก ความสามารถในการลากจูงหรือ Towing Capacity ดีที่สุดสำหรับรถในระดับเดียวกัน ช่วยให้ภาระการลากเรือหรืออุปกรณ์และสัมภาระอื่นในการเดินทางทำได้ง่ายและสะดวกรวดเร็ว

ระบบความความปลอดภัย
มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ คือการปฏิวัติในวงการรถกระบะขึ้นมาใหม่ โดยยังคงไว้ด้วยสมรรถนะที่ต้องการตามแบบของรถกระบะแต่ให้การขับขี่และการโดยสารแบบรถยนต์นั่ง ดังนั้นอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยจึงได้นำมาใช้อย่างครบครันเพื่อความปลอดภัยต่อผู้ขับขี่และผู้โดยสารร่วมเดินทางและเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น

นอกเหนือจากมาตรการต่างๆ เพื่อพัฒนาให้เป็นรถกระบะที่มีความปลอดภัยสูง มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ถูกติดตั้งด้วยเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ทันสมัยเฉกเช่นเดียวกับในรถยนต์นั่งมาอย่างมากมาย สมรรถนะด้านความปลอดภัยเชิงป้องกัน เราให้ความสำคัญโดยเริ่มจากทัศนวิสัยที่ดีในทุกมุมมองของการขับขี่ ประสิทธิภาพในการควบคุมการขับขี่ สมรรถนะด้านการเบรก รวมทั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่ช่วยควบคุมการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบที่สำคัญๆ ได้แก่ ระบบเบรก ABS 4 ล้อ (Antilock Braking System, 4W-ABS), ระบบป้องกันการลื่นไถล (Traction Control System, TCS) และ ระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ (Dynamic Stability Control, DSC) และเสริมเพิ่มเติมด้วยระบบการทำงานดังต่อไปนี้

- ระบบช่วยเพิ่มแรงเบรกฉุกเฉิน Emergency Brake Assist (EBA): เมื่อมีการเบรคฉุกเฉินระบบจะช่วยเพิ่มแรงเบรกให้มากพอในการหยุดรถ
- Brake Override System (BOS): ระบบอัตโนมัติที่จะตัดการทำงานของคันเร่งในกรณีที่แป้นเบรกและคันเร่งถูกเหยียบในเวาลาเดียวกัน
- สัญญาณเตือนการเบรกฉุกเฉิน Emergency Stop Signal (ESS): เมื่อมีการเบรกในสถานะการณ์ฉุกเฉินเมื่อใช้ความเร็วสูงสัญญาณไฟฉุกเฉินจะปรากฏขึ้น
- ระบบควบคุมการทรงตัวเมื่อบรรทุก Load Adaptive Control (LAC): เมื่อมีการบรรทุกสัมภาระระบบจะทำการจับตำแหน่งและน้ำหนักของสัมภาระที่บรรทุกแล้วควบคุมการทำงานของระบบเบรก ABS 4 ล้อ (4W-ABS), ระบบป้องกันการลื่นไถล (Traction Control System, TCS) และระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ (Dynamic Stability Control, DSC) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรก การป้องกันการลื่นไถล เสถียรภาพและการทรงตัวของรถ รวมถึงการป้องกันรถผลิกคว่ำ
- ระบบช่วยการทรงตัวของรถลากขณะลากจูง Trailer Sway Assist (TSA): ขณะลากจูงรถ เมื่อรถลากเริ่มที่จะส่ายออกด้านข้าง ระบบจะทำการปรับความเร็วของล้อทั้งด้านซ้ายและด้านขวาเพื่อรักษาตำแหน่งของรถลากให้เหมาะสม
- ระบบป้องกันรถผลิกคว่ำ Roll Stability Control (RSC): ระบบทำงานเพื่อตรวจสอบพฤติกรรมของรถและควบคุมแรงเบรกในแต่ละล้อเพื่อป้องกันรถผลิกคว่ำ
- ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน Hill Launch Assist (HLA): เมื่อรถต้องออกตัวจากการหยุดนิ่งบนถนนที่ลาดชัน เมื่อผู้ขับขี่ถอนเท้าจากแป้นเบรคเพื่อไปเหยียบคันเร่งระบบจะทำการหยุดรถเป็นเวลา 2 วินาทีเพื่อให้ผู้ขับขี่มิต้องกังวลต่อรถที่จะไถลเนื่องจากถนนที่ลาดชัน
- ระบบควบคุมการขับขี่ทางลาดเอียง Hill Descent Control (4WD only): ระบบจะสั่งให้เพิ่มแรงเบรกเพื่อรักษาความเร็วที่ใช้อยู่ให้คงที่
ระบบความปลอดภัยเหล่านี้เป็นออพชั่นในแต่ละรุ่น

การขับขี่ในยามค่ำคืนให้ทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยมเช่นเดียวกับในตอนกลางวันหรือแม้กระทั้งกับการขับขี่ในสภาพอากาศที่เลวร้าย โดยประสิทธิภาพที่ดีของไฟหน้าพร้อมกับฟังค์ชั่น เปิด-ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติและที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ กระจกมองหลังตัดแสงสะท้อนอัตโนมัติช่วยลดแสงไฟหน้าของรถที่ตามหลังไม่ให้เข้าตารบกวนผู้ขับขี่ เซ็นเซอร์กะระยะถอยติดตั้งอยู่ในบางรุ่นช่วยตรวจจับวัตถุกีดขวางโดยรอบด้านท้ายขณะถอยหลังพร้อมทั้งสัญญาณเตือนเมื่อมีสิ่งกีดขวาง

สมรรถนะความปลอดภัยเชิงปกป้องที่มีประสิทธิภาพด้วยความแข็งแรงและแข็งแกร่งของโครงสร้างห้องโดยสารและโครงสร้างแชสซีใช้เหล็กที่รับแรงได้สูงพิเศษ (High-tensile Steel) แบบหลายชั้น โครงสร้างเหล็กถูกออกแบบให้ดูดซับและกระจายแรงปะทะจากการชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งโครงสร้างห้องโดยสารและแชสซีช่วยผู้โดยสารปลอดภัยจากการชนปะทะในทุกทิศทาง สมรรถนะความปลอดภัยเชิงปกป้องภายในห้องโดยสารประกอบด้วยเข็มขัดนิรภัย 3 จุด ELR สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า และเข็มขัดนิรภัย 3 จุด ELR สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง 3 ตำแหน่งของรุ่นดับเบิ้ลแค็ป ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ช่วยให้เกิดการปกป้องมากยิ่งขึ้น

ราคาจำหน่าย Mazda BT-50 PRO

- รุ่นฟรีสไตล์แค็ป 4×2 S 2.2L เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค ราคา 589,000 บาท
- รุ่นฟรีสไตล์แค็ป 4×2 V 2.2L เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค ราคา 639,000 บาท
- รุ่นฟรีสไตล์แค็ป 4×2 V 2.2L ABS เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค ราคา 683,000 บาท
- รุ่นฟรีสไตล์แค็ป 4×2 V 2.2L Hi-Racer เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค ราคา 659,000 บาท
- รุ่นฟรีสไตล์แค็ป 4×2 V 2.2L Hi-Racer ABS เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค ราคา 715,000 บาท
- รุ่นฟรีสไตล์แค็ป 4×4 R 3.2L เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค ราคา 814,000 บาท
- รุ่นดับเบิ้ลแค็ป 4×2 S 2.2L เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค ราคา 629,000 บาท
- รุ่นดับเบิ้ลแค็ป 4×2 V 2.2L เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค ราคา 724,000 บาท
- รุ่นดับเบิ้ลแค็ป 4×2 V 2.2L ABS เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค ราคา 764,000 บาท
- รุ่นดับเบิ้ลแค็ป 4×2 V 2.2L Hi-Racer เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค ราคา 746,000 บาท
- รุ่นดับเบิ้ลแค็ป 4×2 V 2.2L Hi-Racer ราคา 874,000 บาท
ABS + เบาะหนัง + Cruise Control เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด สีเมทัลลิค
- รุ่นดับเบิ้ลแค็ป 4×4 R 3.2L ABS+DSC เกียร์ธรรมดา 6 สปีด สีเมทัลลิค ราคา 943,000 บาท
- รุ่นดับเบิ้ลแค็ป 4×4 R 3.2L ราคา 988,000 บาท
ABS + DSC + เบาะหนัง + Cruise Control เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด สีเมทัลลิค 

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

Nissan Almera ยอดอีโค่คาร์กับสมรรถนะระดับรถหรู



       เปิดตัวกันมาตั้งแต่เมื่อช่วงเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา กับเจ้ารถอีโค่คาร์รุ่นที่ 2  Nissan Almera  ที่มาพร้อมพรีเซนเตอร์หนุ่ม  โดม และเรือนร่างที่ประทับใจหลายๆคน โดยเฉพาะขนาดที่ลงตัว เหมาะต่อการใช้งานจริงของคนเมืองและคนไทย


                Almera-Almera 
...เราพูดไปพูดมากันในสื่อมวลชนสายยานยนต์ที่มาทดสอบรถยนต์ Nissan Almera 
ครั้ง นี้ จนสรุปได้ว่า ถ้าแปลตามภาษาคาราโอเกะจะได้ว่า 
"เอาไหมล่ะ"..เล่นเอากันขำไปเหมือนกัน แต่หลังจากฟังบรรยายสรุปและขึ้นขับรถ
Nissan Almera 
คงต้องกล่าวกันตามตรงว่ารถคันนี้ไม่ควรมองข้ามไปเลยแม้แต่น้อย 
ยิ่งใครที่ชอบความหรูและสมรรถนะที่ลงตัว


Nissan Almera




เรือนร่างซีดาน เท่ห์สไตล์หรูหราแบบพี่ใหญ่ 


                  Nissan Almera 
ที่จอดอยู่หน้าเราในงวดนี้นั้นเป็นรถรุ่นลองท๊อปที่มาพร้อมฟังชั่นต่างๆมาก
มาย แต่กับเรือนร่างแล้ว Nissan Almera ทุกรุ่นมีความลงตัวเหมือนกัน 
ด้วยความหรูหราสง่างาม จนน่าจะบอกได้ว่า Nissan Almera  คือ 
รถหรูย่อขนาดเพื่อให้เหมาะแก่การใช้ขับขี่ในเมือง


                มิติตัวถังที่เริ่มด้วยขนาดยาว 4425 ม.ม.กว้าง 1695 ม.ม. และ สูง 1500 ม.ม. มาพร้อมฐานล้อ 2600 ม.ม.
เป็นการตอบโจทย์ที่ดีของรถยนต์  Nissan Almera 
ที่โดดเด่นในเรือนมิติตัวถังที่ยาวนี้ ทำให้มันดูคล้ายรุ่นพี่ Nissan 
Teana  ที่มีลักษณะคล้ายๆกันในแบบ รถลีมูซีนหรู 


Nissan Almera

                การออกแบบ Nissan Almera  Nissan 
ได้ใช้เส้นสายที่ให้ทั้งความสปอร์ตและความหรูหราที่ลงตัวทักทายเริ่มต้นด้วย
กระจังหน้าโครเมี่ยมทำให้รถดูหรูมาพร้อมไฟหน้าขนาดใหญ่และไฟตัดหมอก 
ในขณะที่เส้นสายการออกแบบที่ให้ความลงตัวนั้นยังให้สมรรถนะและการประหยัด
น้ำมันด้วยค่าสัมประสิทธิ์เสียดทานอากาศเพียง 0.29 cd  
ช่วยในการขับเคลื่อนที่พริ้วไหว 
ต่อเนื่องสู่ด้านข้างด้วยมือจับแบบโครเมี่ยม 
และบั้นท้ายมาพร้อมไฟท้ายทรงกึงสปอร์ตกึ่งหรู แต่ที่แน่มีสปอร์ยเลอร์ท้าย 
ช่วยเพิ่มดีไซน์ในเรื่องความปราดเปรียว ที่มองไปๆมาดูมันจะใหญ่ไปเล็กน้อย 
และปิดบัญชีภายนอกด้วยล้ออัลลอยขอบ 15 นิ้วจากโรงงานรัดด้วยยาง 185/65/R15 
(รถรุ่นรองท๊อป แต่ถ้ารุ่นทั่วไปจะเป็นล้ออัลลอยขอบ 14)





ภายในสปอร์ตหรู เน้นคมเข้มเต็มอารมณ์ 


                เมื่อเปิดประตูเข้าสู่ภายในห้องโดยสาร  Nissan Almera  
ต้อนรับเราด้วย การตบแต่งห้องโดยสารที่เน้นหนักในความสปอร์ตสีดำ 
สลับกับโครเมี่ยมในหลายๆจุดที่จะพบได้ในรถเกียร์อัตโนมัติทุกรุ่น 
แต่เมื่อเราหย่อนตัวเองลงบนเบาะนั่งที่ทำจากผ้าแล้ว ผู้ทดสอบที่ความสูง 182
ซ.ม. หนักราวๆ 90 ก.ก. ก็รู้สึกนั่งไม่สบายตัวนัก 
ส่วนหนึ่งมาจากเบาะมีการทำทรงให้เป็นสปอร์ตโอบกระชับมากยิ่งขึ้น


Nissan Almera

                
เมื่อหันไปถามเพื่อสื่อมวลชนที่ไปด้วยกันในงวดนี้ก็ได้คำตอบที่คล้ายๆกัน 
ซึ่งพี่สื่อจากเล่ม ecareasy ท่านนี้มีขนาดเล็กกว่าเรามาก 
แต่ก็ยังนั่งไม่สบายนัก ซึ่งเราเห็นพ้องร่วมกันว่าเบาะมีขนาดเล็กเกินไป 
ทำให้นึกุคงคนที่อาจจะมีขนาดใหญ่กว่าเรา


                เหลียวซ้ายแลขวามองสิ่งต่างในห้องโดยสาร  Nissan Almera

จัดวางได้อย่างลงตัวมีการเก็บงานดีให้อารมณ์ความรู้สึกที่ค่อนข้างดูเป็นแนว
สปอร์ตหรู พวงมาลัยมีขนาดเล็กตามขนาดรถ 
ส่วนเรื่องคันเกียร์ที่ดูเหมือนที่ตักไอศครีมนั้น 
ก็ให้ความทันสมัยที่แตกต่างจากที่เราได้สัมผัส


Nissan AlmeraNissan Almera

                
สิ่งที่หลายคนอยากรู้นั้นคงไม่พ้นที่นั่งในเบาะตอนหลังที่บอกว่ากว้างนัก
กว้างหน้า และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะ 
เพียงแค่เราโยนกระเป๋าไปไว้ด้านหลังนั้น 
หากจะหยิบจะคว้ามาใช้ก็ยากเต็มทีจนเรียกว่าต้องมือยาวจริงๆ 
หรือไม่ก็ต้องหันตัวคว้ามา


                พื้นที่วางขาระดับเดียวกับ  Nissan Teanaทำให้  Nissan 
Almera สามารถนั่งได้อย่างสบายแม้เราจะมีขนาดตัวตามที่ได้กล่าวกันไปว่าสูง 
183 ซ.ม. ก็ยังนั่งได้ โดยไม่ต้องพับขา ยืดกันได้เต็มสูตร 
แต่ปัญหานั้นกลับไม่ได้อยู่ช่วงขาแต่มันอยู่ที่พื้นที่เหนือหัว 
ซึ่งรับอิทธิพลมาจากหลังคาแบบคูเป้ 
ทำให้ในตอนท้ายของห้องโดยสารรถมีความลาดเอียงค่อนข้างมาก 
จึงเหลือพื้นที่เหนือศีรษะไม่มากมายนัก เรียกว่า 
ถ้ารถกระโดดคอสะพานต้องมีหัวโนกันบ้างล่ะ

ได้เวลาขับเคลื่อน ชีวิตในเมืองที่ลงตัว 


                ในที่สุดหลังจากรอฤกษ์ยามพักใหญ่เราก็ได้เวลาที่จะทะยาน
Nissan Almera สู่ท้องถนนในเมืองไทย โดย รถรุ่นที่เราขับนั้นเป็น Nissan 
Almera 1.2 V CVT น้องรองของรถรุ่นนี้ 
ที่เปิดสเป็คอย่างไวพบว่าตัวรถเองมีน้ำหนัก 1025 ก.ก. ในการเดินทางครั้งนี 
เรามีผู้โดยสาร 2 คน และ สัมภาระคือกระเป๋ากล้อง 2 ใบ 
คาดว่ารถคันนี้มีน้ำหนักรวมประมาณ 1300 ก.ก.


                
หนทางแรกคือเราต้องฝ่าการจราจรของเมืองกรุงมุ่งสู่อัมพวา ที่แม้จะเกือบ 9 
โมงเช้าแล้ว การจราจรเมืองกรุงก็ยังเป็นอัมพาธอยู่เหมือนเคย 
เราบุกเข้าไปฝ่ารถติดกันที่ 
ถนนสุรวงศ์ซึ่งถนนตรงนี้เป็นเส้นทางในเมืองอย่างแท้จริง Nissan Almera 
ให้ความคล่องตัวในการขับขี่ได้ดี 
พวงมาลัยที่เบาจาการควบคุมการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า  (EPS) ให้การตอบสนองได้ดี
แม้ในสถานการณ์ที่คับคันก็ตวัดไป-มาได้อย่างมั่นใจ 
แต่เมื่อรถคันนี้มีขนาดที่ค่อนข้างยาว 
เมื่อประกอบกับการจราจรที่ไม่มีใครยอมใครในเมืองกรุงสมัยนี้เรา 
มันก็เป็นอุปสรรคการขับขี่ Nissan Almera  


Nissan Almera

                จุดขายของ Nissan Almera  นั้น 
อยู่ที่รุ่นเกียร์อัตโนมัติที่คุณจะได้สัมผัสกับเทคโนโลยีใหม่ Idling Stop 
ที่ช่วยในการประหยัดน้ำมันมากขึ้น 
โดยจะหยุดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติ 
เมื่อเหยีบเบรคเป็นระยะเวลานานกว่า 2-5 วินาที 
ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำมันได้อย่างเห็นผลประหยัดมากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน


                ในการใช้งานจริงบนนถนนระบบ Idling Stop ใช้งานได้ง่าย 
เพียงแค่เหยีบเบรคไว้ชั่วอึดใจหนึ่งเครื่องยนต์ก็จะดับลงแต่ระบบปรับอากาศ
และเครื่องเสียงไฟฟ้าทุกอย่างยังสามารถทำงานได้ตามปกติ 
ทำให้ไม่สูญเสียความสบายในการโดยสารเพื่อแลกการประหยัดน้ำมัน 
และเมื่อเราใช้ระบบนานกว่า 175 วินาที หรือประมาณ เกือบ 3 นาที 
ระบบจะทำการติดเครื่องยนต์เองเพื่อรักษาระดับไฟฟ้า 
ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ชาญฉลาก ในการประหยัดน้ำมัน 
แต่ก็อาจจะมีบางคนไม่ชอบมันเพราะ เมื่อ 
เครื่องยนต์ดับระบบปรับอากาศนั้นจะเย็นแบบชืดๆ ทำให้ รู้สึกอึดอัด แต่ 
Nissan Almera  มีข้อดีกว่า Nissan March 
ตรงที่ว่าสามารถปิดระบบด้วยสวิทช์ทางด้านขวา ของคนขับ





นอกเมืองน่าประทับใจ กับสมรรถนะที่คุ้มค่า 


                หลังจากผจญการจราจรในเมืองราวๆ ชั่วโมงกว่า 
เราก็ออกมาสู่ถนนนอกเมืองกันได้เสียที และเส้นทางหลวงมุ่งอัมพว่า 
ถือเป็นบททดสอบสำคัญของ  Nissan Almera  
ที่หลายคนกังขาในเรื่องการเดินทางไกลของรถประเภทนี้


                การเดินทางออกต่างจังหวัดด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร 
79 แรงม้า พร้อมแรงบิด 106 นิวตันเมตร เราขับ Nissan Almera V 
เริ่มต้นด้วยการเดินทางที่ความเร็ว 80 ก.ม./ช.ม.ได้รอบเครื่องยนต์อยุ่ที่ 
1500 รอบต่อนาที และเมื่อขยับขึ้นมาอีกเล็กน้อยที่ 
ความเร็วยอดประหยัดน้ำมัน 90 ก.ม./ช.ม. 
ก็ได้รอบเครื่องที่ต่างกันไม่มากอยู่ 1650 รอบต่อนาที ซึ่งชี้ให้เห็นว่า 
เครื่องยนต์ขนาดเล็กก็อาจจะไม่ได้ใช้รอบเครื่องยนต์สูงอย่างที่คิดสามารถ
เดินทางได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะใครที่ขับรถเอาไวเข้าว่า 
เมื่อขับที่ความเร็ว 130 ก.ม./ช.ม.รอบเครื่องจะอยูที่เพียง 2500 
รอบต่อนาทีโดยประมาณ แต่เรื่องการเร่งเครื่องนี่ก็ห้ามเพลินโดยเด็ดขาด 
เพราะ  Nissan Almeraนั้นจะไม่ยอมเปลี่ยนเกียร์ถ้าคุณไม่ผ่อนคันเร่ง 
เรียกว่าเร่งยันคุณจะพอใจ


Nissan Almera

                การขับ Nissan Almera 
 นอกเมืองนั้นตัวรถมีความสเถียรในการเกาะถนนพอสมควร 
ด้วยช่วงล่างระบบแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลงทางด้านหน้า 
และด้านหลังใช้ระบบทอร์ชั่นบีมพร้อมเหล็กกันโคลง 
 ที่ทำให้รถนั้นมีการทรงตัวที่ดีไม่โยนเยนไปมา 
ส่วนหนึ่งก็มาจากการออกแบบในเรื่องอากาศพลศาสตร์ที่ดีด้วย แต่ถ้าเมื่อไร 
คุณขับรถแบบฉวัดเฉวียนไปมา ด้วยฐานล้อที่ยาวกว่าชาวบ้าน อาจจะทำให้ 
มีการท้ายไหลเล็กน้อยบ้าง แต่ก็ไม่มากนักเว้นแต่จะใช้ความเร็วสูงกันจริงๆ 
 ส่วนเรื่องการหยุดนั้นก็มั่นใจได้ เพราะเบรคที่อาจจะดูทื่อๆ 
สามารถตอบสนองได้อย่างมั่นใจ ที่ทำงานพร้อม 3 สหาย  ABS-EBD-BA  มา


                
เรื่องความเร็วปลายในครั้งนี้เรายังไม่ได้ทดลองเนื่องจากสภาพการจราจรนั้น
ไม่เอื้ออำนวยนัก แต่มีเพื่อนสื่อมวลชนที่หลายคนน่าจะรู้จัก "น้าตั๋ม" 
ท่านได้ลองจัดดูหมดถนนได้ 160 ก.ม. ต่อชั่วโมง  ถือว่าไม่เบาเลยทีเดียว 
ส่วนความเร็วปลายแบบสุดๆ จริงๆ คงต้องรอการทดสอบอีกรอบหนึ่ง


            ถ้าจะพูดแล้ว  Nissan Almera ถือ
เป็นอีโค่คาร์ที่คุ้มค่าถ้ากำลังมองหารถที่มีความหรูหรามากกว่าแค่ความ
ประหยัด ที่ยังควงมากับเทคโนโลยีที่ลงตัวทางด้านวิศวกรรมและการออกแบบ
..ก็อย่างที่เรากล่าวว่าสื่อในทริปนี้เราคุยกันสนุกๆว่า Almera
 = เอาไหมล่ะ คงต้องลงคิดดูครับว่า เมื่อจ่ายเงินสูงสุด 599,000 บาท ( Almera  รุ่นท๊อป) แต่ได้ครบทุกอย่างที่มีในรถหรูแถมประหยัด เป็นคุณจะซื้อไหมล่ะ






ขอบคุณ คาราวานทดสอบของ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
ผลการทดสอบ                


ที่ความเร็ว 80 ใช้รอบเครื่องยนต์ 1500 รอบต่อนาที


ที่ความเร็ว 90 ใช้รอบเครื่องยนต์ 1650 รอบต่อนาที


ที่ความเร็ว 130 ใช้รอบเครื่องยนต์ 2500 รอบต่อนาที


ที่ความเร็ว 80 ใช้รอบเครื่องยนต์ 1500 รอบต่อนาที


ตารางคะแนนผลการทดสอบ Nissan Almera 1.2 V CVT


คะแนนการทดสอบโดยรวม 94 คะแนน 































หัวข้อ


คะแนน (เต็ม 25 คะแนน)


ข้อติชมและคำแนะนำ


รูปลักษณ์ภายนอก


23


เรือนร่างที่ดูงดงามแบบลีมูซีคงจะถูกใจหลายๆคนเช่นเดียวกับบั้นท้ายที่ดุ
ลงตัว แต่ด้านหน้านี่ดูน่าจะต้องมีการปรับแต่งเล็กน้อย
เพราะตัวรถดูมีความหรู
แต่ใบหน้าที่แปลกแม้จะให้ค่ายสัมประสิทธิ์เสียดทานเพียง 0.29
อาจจะทำให้หลายคนไม่ชอบ


ภายในห้องโดยสาร


23


ห้องโดยสารลงตัวในทุกจุด
โดยเฉพาะมิติความกว้างขวางที่มากมายจนแทบไม่น่าเชื่อว่านี่คืออีโค่คาร์
แต่สิ่งที่ไม่ลงตัวคือเบาะนั่งโดยเฉพาะคู่หน้าที่ดูแคบไป
ส่วนด้านหลังช่วงขากว้างดี แต่พื้นที่เหนือศรีษะนี่อาจจะทำให้มีปัญหาได้
ยามรถกระโดดหรือกระเด้งมากๆ
แต่เราเชื่อว่าด้วยช่วงล่างที่ได้สัมผัสคงไม่เหตุการณ์แบบนั้น
เอาเป็นว่าจะใช้งานควรจัดระเบียบผู้โดยสารเสียหน่อย


สมรรถนะเครื่องยนต์และความประหยัด


24


เรื่องเครื่องยนต์ 1.2 ลิตรนั้น คงจะตอบสนองได้อยู่แล้ว
ยิ่งมาได้ระบบหยุดเครื่องยนต์อัตโนมัติ หรือ  Idling Stop นั้น ทำให้
 Almera  มีความลงตัวมากยิ่งขึ้น แต่ที่จะตินั้นเป็นระบบส่งกำลัง
ซึ่งควรจะต้องขึ้นเกียร์เองไม่ใช้ ให้คนขับลากกันสุดๆ ตามชอบ
เพราะทำให้เครื่องยนต์เสื่อมสมรรถนะไว


ระบบกันสะเทือนและเทคโนโลยี


24


ช่วงล่าง Nissan Almera  สามารถไว้ใจได้
ในทุกสถานการณ์แต่ความยาวของรถนั้นทำให้ท้ายดื้อเล็กๆเมื่อเปลี่ยนเลนเร็วๆ
แต่คุรคงไม่ขับอีโค่คาร์เร็วจี๋เป็นประจำใช่ไหม